ถูกนับให้เป็น “ดินแดนภัยพิบัติทางธรรมชาติ” ราวกับเป็น “จุดกระสุนตก” หรือบ้างก็เปรียบเทียบว่า ไม่ผิดอะไรกับ “กระสอบทราย” ของโลก ซึ่งเสมือนกับกระสอบทรายที่บรรดานักมวยใช้ซ้อมมวย ที่ทั้งเตะ ต่อย ทุบ ถอง จนน่วมกันไปเลยทีเดียว

สำหรับ “สหรัฐอเมริกา” เจ้าของฉายาถิ่น “ลุงแซม” ประเทศที่ถูกยกให้เป็นมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลก ทว่า ในขณะเดียวกัน ก็เป็นประเทศที่ได้ชื่อว่า เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติมากที่สุดในโลกอีกตำแหน่งด้วยเช่นกัน

โดยภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สหรัฐฯ เผชิญ นอกจากมีจำนวนมากที่สุดในโลกแล้ว ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิด ก็มีรูปแบบหลากหลาย คือ สารพัดรูปแบบมากที่สุดในโลกอีกต่างหากด้วย

จากการที่สหรัฐฯ ประสบกับสภาพอากาศสุดโต่ง วิปริตแปรปรวน ทั้งร้อนจัด หนาวจัด อย่างรุนแรง ยิ่งกว่าประเทศไหนๆ ในโลก

ทั้งนี้ พิบัติภัยทางธรรมชาติที่ประเทศสหรัฐฯ เผชิญ ตามการเปิดเผยของ “องค์การบริหารมหาสมุทรเเละชั้นบรรยากาศโลกเเห่งชาติสหรัฐฯ” หรือ “โนอา” (NOAA : National Oceanic and Atmospheric Administration) ก็ระบุว่า มีทั้งคลื่นความร้อน หรือฮีตเวฟ ภัยแล้ง ไฟป่า พายุฝนฟ้าคะนอง ที่ถึงขนาดทำให้ฟ้าผ่าจำนวนมาก และพายุฝนฟ้าคะนองนี้ ก็ยังมีพายุเดเรโช อันเป็นพายุฝนฟ้าคะนองขนาดมหึมา การเกิดน้ำท่วมฉับพลันหลังฝนตกหนักต่อเนื่องกัน พายุหิมะ และหิมะที่เกิดจากลมเย็นพัดผ่านพื้นที่ทะเลสาบทางเหนือของสหรัฐฯ พายุน้ำแข็ง ลูกเห็บ พายุทอร์นาโด พายุเฮอริเคน ซึ่งพายุทั้งสองชนิดนี้ ก็รู้จักเป็นอย่างดีว่า เป็นมหาวาตภัยที่พัดกระหน่ำประเทศสหรัฐฯ เป็นประจำทุกปี และปีละหลายๆ ลูก

นอกจากนี้ ยังมีพายุนอร์อีสเตอร์ ซึ่งเป็นพายุชนิดหนึ่งจะเกิดเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ และยังมีพายุมรสุม พายุฝุ่น การเกิดปรากฏการณ์บอมบ์ไซโคลน ปรากฏการณ์ลมวนขั้วโลกอันสุดสะพรึง ตลอดจนการเกิดปรากฏการณ์แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ

โดยภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น ก็สร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิต และทรัพย์สินของชาวอเมริกันเป็นจำนวนมากในแต่ละปี รวมถึงสร้างความเสียหายในทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในระดับสูง

ถึงขนาดกล่าวได้ว่า พิบัติภัยทางธรรมชาติ สร้างความเสียหาย หรือบั่นทอน ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในแต่ละปีหลายเปอร์เซ็นต์

ก็ต้องถือเป็นโจทย์ใหญ่ให้รัฐบาลของสหรัฐฯ ในแต่ละยุค แต่ละสมัย ต้องขบคิดถึงวิธีบรรเทาเยียวยา เพื่อลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติทางธรรมชาติให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

บรรดาผู้เชี่ยวชาญ แสดงทรรศนะเกี่ยวกับเหตุปัจจัยที่ทำให้สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างหนักหนาสาหัสรุนแรงยิ่งกว่าพื้นที่ใดๆ ในโลกนั้น โดยระบุว่า เพราะมาจากสาเหตุปัจจัยจากทางด้านภูมิศาสตร์ ที่ตั้งของประเทศสหรัฐฯ โดยแท้

โดยเหล่าผู้เชี่ยวชาญแสดงทรรศนะว่า สหรัฐฯ มีที่ตั้งโดยมีมหาสมุทรขนาบทั้ง 2 ด้าน โดยด้านตะวันออกก็เป็นมหาสมุทรแอตแลนติก และด้านตะวันตก คือ มหาสมุทรแปซิฟิก นอกจากนี้ ที่ด้านใต้ ก็ยังเป็นท้องน้ำของอ่าวเม็กซิโก ส่วนผืนแผ่นดินใหญ่ภาคพื้นทวีปนั้น สหรัฐฯ ก็ยังมีเทือกเขาร็อกกี พาดผ่านเป็นแนวยาวจากตอนเหนือ จรดลงมายังตอนใต้ของประเทศ ขณะที่ บางส่วนเช่นทางตะวันออก ก็มีลักษณะเป็นคาบสมุทรยื่นออกไป เช่น รัฐฟลริดา ใช่แต่เท่านั้น ในบางจุดพื้นที่ของสหรัฐฯ ก็ยังมีแนวปะทะของลมพายุที่พัดกระหน่ำเข้าหากัน และกระแสลมกรด ที่รวมตัวกันจนก่อให้เกิดสภาพอากาศอันเลวร้ายอย่างสุดๆ ตามธรรมชาติ

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ลักษณะภูมิศาสตร์ข้างต้นที่กล่าวมา ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

นอกจากเหตุปัจจัยจากธรรมชาติแล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญ ยังระบุด้วยว่า สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือก่อขึ้นมา ก็เป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน่าสะพรึงอีกด้วยสำหรับสหรัฐอเมริกา

ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมต่างๆ ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ จนก่อให้เกิดวิกฤติปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน ตามมา เป็นต้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศให้วิปริตแปรปรวน จนกลายเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติหวนกลับมาเล่นงาน แถมยังมีแนวโน้มว่า พิบัติภัยทางธรรมชาติที่ว่า ก็จะทวีความรุนแรงหนักขึ้นอย่างสุดสะพรึง