นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยผลการประชุม กกร.ว่า มองภาพเศรษฐกิจประเทศหลักทยอยฟื้นตัว โดยจีดีพีของจีนและสหรัฐในไตรมาสแรกต่างขยายตัว จากภาคบริการที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ขณะที่ภาคการผลิตที่ชะลอตัวตลอดไตรมาสที่ 1 เริ่มปรับตัวดีขึ้นในตลาดสหรัฐ ซึ่งแม้ว่ายังเผชิญปัญหาสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่องแต่ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อภาคธุรกิจและครัวเรือนมากนัก ทั้งนี้สัญญาณการปรับตัวดีขึ้นของภาคการผลิตในตลาดหลักมองว่าเป็นผลต่อภาคการส่งออกไทย ล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวโดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร จึงคาดว่าการส่งออกไทยจะหดตัวในช่วงครึ่งปีแรกก่อนจะมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง

ทั้งนี้ต้องจับตาปัจจัยกดดันจากภาวะต้นทุนที่ยังอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มอาจปรับตัวลดลงช้ากว่าที่คาดไว้เนื่องจากราคาในตลาดโลกของสินค้าโภคภัณฑ์ในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของประเทศเศรษฐกิจหลักยังทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากการส่งผ่านต้นทุนยังไม่สิ้นสุด ขณะที่ประเทศไทยผู้ประกอบการมีแนวโน้มทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าอีก 5-10% เพื่อส่งผ่านภาระต้นทุนค่าไฟซึ่งอยู่ที่ 4.70 บาท/หน่วย ต่อไปในระยะข้างหน้า และทำให้ผลกระทบจากราคาสินค้าและต้นทุนที่มีแนวโน้มสูงต่อเนื่องจึงเป็นปัจจัยกดดันภาคธุรกิจและครัวเรือนต่อไป อีกทั้งต้องจับตาความเสี่ยงจากภาวะภัยแล้งที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าซึ่งอาจซ้ำเติมราคาอาหารภายในประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูง

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวมีโอกาสแตะระดับ 30 ล้านคน ในปี 2566 ซึ่งสูงกว่าประมาณการเดิม โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลังจะเพิ่มมากขึ้น และเป็นปัจจัยสนับสนุนทำให้ GDP ในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเติบโตได้มากกว่าครึ่งปีแรก โดย กกร.ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 เท่ากับครึ่งก่อน คาดว่า จีดีพีจะอยู่ที่ 3.0-3.5% ส่งออกหดตัว -1.0-0.0% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ระดับ 2.7-3.2%

ขณะเดียวกัน กกร.มีความกังวลต่อความเสี่ยงภัยแล้งที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมและเกษตรกรรมที่สำคัญ โดยปรากฏการณ์เอลนีโญ่มีโอกาสเกิดขึ้นในช่วงเดือน ก.ค.66 และอาจรุนแรงติดต่อกันมากถึง 3-5 ปี ปรากฏการณ์เอลนีโญ่ในครั้งนี้ จะทำให้เกิดคลื่นความร้อนและภัยแล้งเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะปริมาณน้ำฝนที่คาดว่าจะมีปริมาณลดลงและทำให้ปริมาณน้ำเก็บกักในอ่างเก็บน้ำในภาคตะวันออกไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำของทุกภาคส่วน ทั้งภาคอุตสาหกรรมและเกษตร ซึ่งจะทำให้ผลผลิตในปีนี้ลดลงและราคาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ กกร.เตรียมจัดทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีฯโดยเร็วที่สุด คาดว่าภายในสัปดาห์หน้า ขอให้พิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนรับมือสถานการณ์ภัยแล้งระยะเร่งด่วน 3 ปี และระยะยาว เพื่อเร่งวางมาตรการรับมือภัยแล้งและเร่งรัดโครงการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำภาคตะวันออกให้แล้วเสร็จตามแผน เช่น โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนดจังหวัดจันทบุรี