เฝ้ารอด้วยความใจจด ใจจ่อ ก็ถึงเวลาประกาศอย่างเป็นทางการกันสักที

สำหรับ การประกาศลงชิงชัยในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2024 (พ.ศ. 2567) ในตัวแทนตัวแทนพรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ซึ่งมีขึ้นเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยการประกาศขั้นต้น ก็จะเป็นการลงสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสมัยที่ 2 ของนายไบเดน ตามสิทธิในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ที่กำหนดให้สามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้สูงสุด 2 สมัย หรือไม่เกิน 8 ปี คือ อย่างมากสุด บุคคลคนๆ หนึ่งสามารถนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในทำเนียบขาวได้รวมแล้วเพียง 8 ปีเท่านั้น หรือ 2 สมัยๆ ละ 4 ปี ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศ

พลันสิ้นเสียงประกาศ บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า สมรภูมิเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในอีกปีกว่าๆ ข้างหน้านี้ ก็จะเป็นสัประยุทธ์กันอีกครั้งระหว่างนายไบเดน แห่งพรรคเดโมแครต ผู้เป็นเจ้าของเก้าอี้ประธานาธิบดีในทำเนียบขาวคนปัจจุบัน กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ แห่งพรรครีพับลิกัน ซึ่งได้ประกาศตัวลงชิงชัยในนามพรรครีพับลิกันอย่างเป็นทางการ เมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว คือ 2022 (พ.ศ. 2565) หรือหลังศึกเลือกตั้งของสหรัฐฯกลางเทอมหมาดๆ ที่ “มาร์-อา-ลาโก” คฤหาสน์หรูส่วนตัวของเขาในรัฐฟลอริดา ภายใต้สโลแกนที่ว่า “เพื่อสร้างอเมริกาให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง”

ทั้งนี้ เหล่านักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ จะชนะในศึกไพรมารีโหวต ในการเลือกผู้ที่จะมาเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ค่อนข้างจะแน่ เหนือกว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรครีพับลิกันคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น “นายไมค์ เพนซ์” อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในยุคของทรัมป์ “นางนิกกี ฮาเลย์” อดีต ส.ส. และผู้ว่าการรัฐเซาท์แคโรไลนา และอดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ หรือยูเอ็น นายรอน ดิซานดิส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ที่มีคะแนนนิยมอันร้อนแรง แต่เมื่อมาเทียบกับนายทรัมป์แล้ว ปรากฏว่า อดีตประธานาธิบดีฝีปากกล้าและจอมอื้อฉาวรายนี้ ยังมีคะแนนนิยมนำหน้าเหนือกว่า

โดยผลการสำรวจความคิดเห็น หรือการจัดทำโพลล์ของประชาชนพลพรรครีพับลิกันครั้งล่าสุด ปรากฏว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มีคะแนนนิยมอยู่ที่ร้อยละ 46 นำหน้าเหนือกว่านายดิซานดิส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ซึ่งตามมาเป็นที่ 2 ที่ร้อยละ 31 ทิ้งห่างกันถึง 15 จุดด้วยกัน ส่วนอดีตรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ มีคะแนนนิยมแบบต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่ที่ร้อยละ 6 เท่านั้น ซึ่งก็คงต้องตบเท้าพ้นจากสังเวียนการชิงชัยกันไปในที่สุด คงเหลือแต่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เท่านั้น ที่จะเข้าสู่สมรภูมิเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในฐานะตัวแทนพรรครีพับลิกัน กับประธานาธิบดีไบเดน คู่ปรับเก่า ผู้เคยพิชิตชัยเหนือนายทรัมป์มาได้ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี 2020 (พ.ศ. 2563)

เรียกว่าเป็น “ศึกล้างตา” ระหว่างสองผู้ชิงเก้าอี้ทำเนียบขาว 2024 คู่นี้

ในส่วนของการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกัน ที่มีต่อคู่ชิงชัยทั้งสอง ปรากฏว่า คะแนนนิยมทั้งของประธานาธิบดีไบเดน กับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ต้องบอกว่า ทั้งคู่มีคะแนนนิยมผลัดกันนำ ผลัดกันตาม ในการสำรวจของบรรดาสำนักโพลล์ทั้งหลาย เมื่อช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือน เม.ย.ที่เพิ่งผ่านพ้นมา ได้แก่

“ฮาวาร์ด/แฮร์ริสโพลล์” ระบุว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มีคะแนนนิยมนำน้าประธานาธิบดีไบเดน ที่ร้อยะ 45 ต่อ 40 อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ไม่ตัดสินอีกร้อยละ 15 ซึ่งผู้สมัครทั้งสองต้องพยายามช่วงชิงคะแนนเสียงส่วนนี้มาให้ได้มากที่สุด

เช่นเดียวกับ “ยูกอฟ” ที่จับมือร่วมกับ “ดิ อิโคโนมิสต์” สำรวจโพลล์ร่วมกัน จนผลออกมาว่า ร้อยละ 43 สนับสนุนต่อประธานาธิบดีไบเดน ตามหลังอดีตประธานาธิบดีทรัมป์แบบเฉียดฉิวที่ร้อยละ 44 และยังมีผู้ไม่ตัดสินใจอีกร้อยละ 13

อย่างไรก็ตาม จากการที่ “ยูกอฟ” ร่วมกับ “ยาฮู” สำรวจโพลล์ พบว่า ประธานาธิบดีไบเดน มีคะแนนนิยมนำหน้าเหนืออดีตประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ที่ร้อยละ 46 ต่อ 42 และยังมีผู้ไม่ตัดสินใจที่ร้อยละ 12

ด้านการสำรวจโพลล์ของ “พรีไมส์” ก็พบว่า ร้อยละ 44 สนับสนุนต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ นำหน้าประธานาธิบดีไบเดน ที่ได้ร้อยละ 42 มีผู้ยังไม่ตัดสินใจที่ร้อยละ 12

ขณะที่ ผลการสำรวจโพลล์โดย “มอร์นิง คอนซัลท์” ก็เผยว่า ประธานาธิบดีไบเดน มีคะแนนนิยมอยู่ที่ร้อยละ 43 นำหน้าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ที่ร้อยละ 40 แต่มีผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจมากถึงร้อยละ 17

ทางด้าน การสำรวจโพลล์โดย “สถาบันทางยุทธศาสตร์เรดฟิลด์แอนด์วิลตัน” พบว่า ประธานาธิบดีไบเดนมีคะแนนนิยมนำหน้าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์อย่างฉิวเฉียดที่ร้อยละ 44 ต่อ 43 ส่วนผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจอยู่ที่ร้อยละ 13

บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า เหตุปัจจัยที่ทำให้ประธานาธิบดีไบเดน มีคะแนนนิยมลดต่ำลงมา จนหลายสำนักโพลล์ก็ถึงขั้นตามหลังอดีตประธานาธิบดีทรัมป์นั้น ก็มาจากผลงานด้านเศรษฐกิจของเขา นั่นเอง ซึ่งยังคงตกต่ำ ถดถอย สืบเนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงภาวะอัตราเงินเฟ้อ อันส่งผลให้ค่าครองชีพพุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์

ทั้งนี้ จากผลงานด้านเศรษฐกิจข้างต้น จนเป็นเหตุให้ประชาชนชาวอเมริกันไม่ปลื้มนั้น ก็ทำให้คะแนนนิยมของประธานาธิบดีไบเดน ลดต่ำลงมาจากร้อยละ 42 ในการสำรวจครั้งก่อน เหลืออยู่ที่ร้อยละ 39 ซึ่งถือเป็นอีกครั้งที่คะแนนนิยมของประธานาธิบดีไบเดนต่ำกว่าร้อยละ 40

อย่างไรก็ดี ใช่ว่าประธานาธิบดีไบเดนจะมีคะแนนนิยมตกต่ำลง ทว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็เผชิญกับคะแนนนิยมที่ตกต่ำ จนเกิดปรากฏการณ์กระแส “ยี้” ที่ชาวอเมริกันไม่เอาทั้งคู่ ด้วยข้อกล่าวอ้างว่า ทั้งสองคนนั้น มีอายุมากเกินไป หรือถ้าพูดกันอย่างบ้านๆ ก็คือ แก่เกินไป นั่นเอง

โดยในการสำรวจความคิดเห็น พบว่า ชาวพลพรรคเดโมแครตถึงร้อยละ 44 ไม่เห็นด้วยที่ประธานาธิบดีไบเดน จะลงสมัครับเลือกตั้งอีกสมัย ส่วนพลพรรคชาวรีพับลิกัน จำนวนร้อยละ 34 ก็มีความเห็นว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่ควรลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งด้วยเช่นกัน