สสว.เผยผลสำรวจ SME ไตรมาส 1/2566 พบผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อในระบบสูงขึ้น ขณะที่สัดส่วนภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นแต่ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2565 วงเงินสินเชื่อส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 50,000-100,000 บาท และอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7 ในขณะที่กลุ่ม Micro เสียดอกเบี้ยที่อัตราร้อยละ 9 ปัญหาหลักของ SME คืออัตราดอกเบี้ยสูง จึงต้องการให้ภาครัฐช่วยลดภาระดอกเบี้ย 

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว. ได้ทำการสำรวจเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านหนี้สินของผู้ประกอบการ SME ในช่วงไตรมาสที่ 1/2566 โดยสอบถามผู้ประกอบการ จำนวน 2,670 ราย ใน 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 17-25 มีนาคม 2566 พบว่า ผู้ประกอบการ SME ร้อยละ 63.7 มีภาระหนี้สินในกิจการ โดยร้อยละ 10.3 ชำระหนี้สินเสร็จสิ้นแล้วในไตรมาสที่ 1/2566 และอีกร้อยละ 53.4 ยังคงมีภาระหนี้สินอยู่ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ที่ร้อยละ 44.7 โดยแหล่งกู้ยืมเงินของธุรกิจ SME ร้อยละ 86.1 มาจากสถาบันการเงิน ส่วนอีกร้อยละ 13.9 มาจากแหล่งเงินทุนนอกระบบสถาบันการเงิน โดยเฉพาะจากเพื่อนหรือญาติพี่น้องมากที่สุด 

โดยในส่วนที่มีการกู้ยืมนอกระบบสถาบันการเงิน พบว่า อยู่ในภาคธุรกิจการเกษตรและภาคการค้า มากที่สุด โดยเฉพาะร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) รองลงมา คือ การค้าส่งสินค้าอุปโภคและบริโภค และบริการซ่อมบำรุง โดยวัตถุประสงค์ในการกู้ยืมเงิน คือ นำมาหมุนเวียนในกิจการมากที่สุด รองลงมาคือ ลงทุนในกิจการและชำระหนี้เดิม ซึ่งต่างจากไตรมาสก่อนหน้า ที่การกู้ยืมเงินเพื่อการลงทุนในกิจการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะใช้ในการซ่อมแซมหรือตกแต่งสถานประกอบการ 

สำหรับภาระหนี้สินทั้งหมดของธุรกิจ SME ส่วนใหญ่มีหนี้สินอยู่ในช่วง 50,000 บาทถึง 100,000 บาทมากที่สุด มีระยะเวลาการกู้ยืมไม่เกิน 3 ปี และเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า พบว่า ภาระหนี้สินทั้งหมดของธุรกิจรายย่อย (กลุ่ม Micro) มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมากกว่าธุรกิจขนาดอื่น ๆ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ SME ส่วนใหญ่ได้รับอยู่ในช่วงร้อยละ 6-8 โดยธุรกิจรายย่อยได้รับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ร้อยละ 9 ซึ่งสูงกว่าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า อยู่ที่ร้อยละ 7

ทั้งนี้ในปัจจุบันผู้ประกอบการ SME กำลังเผชิญกับปัญหาด้านการเงินและภาระหนี้สินจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นและสูงกว่าไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางจะได้รับผลกระทบมากกว่าธุรกิจขนาดอื่นๆ และพบว่า SME ร้อยละ 48.3 ยังสามารถชำระหนี้ได้ตามสัญญา แต่มีร้อยละ 51.7 ที่กำลังมีปัญหาการชำระหนี้ ทั้งจากการชำระผิดเงื่อนไขหรือจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามสัญญา ซึ่งสัดส่วนที่ผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนหนึ่งมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา SME มีการขอเข้ารับความช่วยเหลือจากสถาบันการเงิน/แหล่งเงินทุน โดยร้อยละ 7.4 ขอปรับโครงสร้างหนี้เพื่อปรับรูปแบบการชำระหนี้ 

อย่างไรก็ดี ปัญหาสำคัญมากที่สุดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SME คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ยังอยู่ในระดับสูง การขาดข้อมูลข่าวสารจากแหล่งเงินทุน และคุณสมบัติของธุรกิจไม่ผ่านตามเงื่อนไขของสถาบันการเงินจึงไม่สามารถกู้ยืมได้ และสิ่งที่ SME ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมากที่สุดด้านการเงินและภาระหนี้สิน คือ การลดอัตราดอกเบี้ย และการจัดให้มีสถาบันการเงินของภาครัฐที่ให้ความช่วยเหลือธุรกิจรายเล็กโดยเฉพาะ (เน้นที่ธุรกิจขนาดเล็กและรายย่อยซึ่งต้องการเงื่อนไขการขอกู้ต่างจากคุณสมบัติที่ธนาคารทั่วไปกำหนดไว้) สำหรับการให้กู้ยืมเพื่อนำเงินไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ เป็นต้น