คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย

สิบเจ็ดเดือนข้างหน้านี้สหรัฐอเมริกาก็จะมีประธานาธิบดีคนใหม่แล้ว โดยขณะนี้นักการเมืองที่เข้าข่ายเป็นตัวเก็งมีอยู่สามคนด้วยกันนั่นก็คือ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”  “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” และอีกคนก็คือ “ผู้ว่าฯรอน เดอแซนติส” แห่งรัฐฟลอริดา

อย่างไรก็ตามขณะนี้นักการเมืองในค่ายพรรครีพับลิกันได้มีผู้ที่ออกมาประกาศว่าจะลงแข่งขันเพื่อเป็นตัวแทนของพรรคแล้ว อาทิ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” “อดีตผู้ว่าฯนิกกี เฮลีย์” จากรัฐเซาท์แคโรไลนา  ซึ่งในอดีตเธอผู้นี้เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำสหประชาชาติที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้แต่งตั้งเธอนั่นเอง!

ทั้งนี้ถึงแม้ว่า อดีตผู้ว่าฯนิกกี เฮลีย์ จะเป็นผู้นำรุ่นใหม่ไฟแรงอยู่ในพรรครีพับลิกันก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าโอกาสที่เธอจะได้รับเลือกให้เข้าไปเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันมีค่อนข้างน้อย แต่เนื่องจากเธอมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เธอก็อาจจะตั้งความหวังเอาไว้ว่าเธออาจจะได้รับเลือกให้เข้าไปร่วมอยู่ในตำแหน่งรองประธานาธิบดีก็เป็นไปได้ หากว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเลือกให้เข้าไปเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน

สำหรับ “อดีตผู้ว่าฯอาสา ฮัตชินสัน” แห่งรัฐอาร์คันซอ ซึ่งเป็นผู้มากด้วยประสบการณ์มาแล้วอย่างโชกโชนมากมาย และดูเหมือนว่าผู้ว่าฯท่านนี้ก็ยังเป็นนักการเมืองในพรรครีพับลิกันเพียงคนเดียวที่กล้าหาญชาญชัยที่จะเอ่ยปากวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีทรัมป์ได้อย่างเต็มปากไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดๆ ที่เมียงๆมองๆไปแล้วช่างแสนจะแตกต่างจากนักการเมืองของพรรครีพับลิกันแทบทุกคน!!!

ทั้งนี้ก็ยังมีนักการเมืองในค่ายพรรครีพับลิกันอีกหลายๆคนที่ยังไม่แสดงเจตจำนงที่จะประกาศลงเลือกตั้ง อาทิ “อดีตผู้ว่าฯคริส คริสตี้” แห่งรัฐนิวเจอร์ซี และยังมี “อดีตรองประธานาธิบดีไมค์ เพนส์”เป็นต้น

ทั้งนี้ยังมีดาวรุ่งทางการเมืองที่กำลังพุ่งแรงและยังเป็นนักการเมืองอนาคตไกลนั่นก็คือ “ผู้ว่าฯรอน เดอแซนติส” แห่งรัฐฟลอริดา และถึงแม้ว่าเขายังไม่ประกาศว่าจะร่วมลงแข่งขันเลือกตั้งก็ตาม แต่กลับปรากฏว่า ผู้ว่าฯท่านนี้ได้รับคะแนนนิยมสูงพอๆกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ด้วยซ้ำไป!

และจากการสำรวจของหนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัล ที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2023 ว่า  ผู้ว่าฯเดอแซนติส มีคะแนนนิยมนำเหนือกว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน อยู่ที่ 48% ต่อ 46%

และเมื่อหันมาดูคะแนนนิยมระหว่างอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กับ ผู้ว่าฯเดอแซนติส กลับปรากฏว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้รับคะแนนสูงเหนือกว่า ผู้ว่าฯเดอแซนติส 51% ต่อ 38%

แต่เมื่อนำคะแนนนิยมระหว่าง ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์มาเปรียบเทียบกันแล้วกลับปรากฏว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้รับคะแนนนิยมสูงเหนือกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ อยู่ที่ 46% ต่อ 44%

ลองหันกลับมาดูชีวประวัติของ ผู้ว่าฯเดอแซนติส ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการศึกษา ด้านประสบการณ์ทางการเมืองกันดูแล้ว นับได้ว่าผู้ว่าฯเดอแซนติส เป็นนักการเมืองที่ไม่ธรรมดาเลย

ผู้ว่าฯเดอแซนติส เกิดและเติบโตที่รัฐฟลอริดามีเชื้อสายอิตาเลียน จบการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ด้วยคะแนนเกียรตินิยม จากมหาวิทยาลัยเยล และจบทางด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ในปีค.ศ. 2004 เดอแซนติสได้เข้าร่วมกองทัพเรือในตำแหน่งนาวาตรี ก่อนที่จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับ

“หน่วยซีล” Seal และเขาถูกส่งตัวไปอิรักในปีค.ศ. 2007 และเมื่อกลับสหรัฐฯเขาได้ทำหน้าที่เป็นทนายความในตำแหน่งผู้ช่วยพิเศษให้แก่สำนักงานอัยการสหรัฐฯ

ด้านชีวิตการเมืองของเดอแซนติส เขาได้รับเลือกให้เข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 2012 และได้กลายเป็นนักการเมืองดาวรุ่งในสภาคองเกรส โดยเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม Freedom Caucus ซึ่งเป็นกลุ่มนักการเมืองปีกขวาของพรรครีพับลิกัน และยังเป็นพันธมิตรอันดีกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อีกด้วย

ต่อมาในปีค.ศ. 2018 เดอแซนติสได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯรัฐฟลอริดา โดยขณะที่ดำรงอยู่ในตำแหน่งได้แค่เพียงหนึ่งปี ปรากฏว่าผู้ว่าฯเดอแซนติสก็ได้กลายเป็นผู้ว่าฯที่ได้รับความนิยมสูงสุดในสหรัฐฯเลยทีเดียว

และเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2022 ผู้ว่าฯเดอแซนติส ก็ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯรัฐฟลอริดาในสมัยที่สอง โดยสามารถเอาชนะคู่แข่งได้อย่างถล่มทลาย 59.4% ต่อ 40%

และถึงแม้ว่าขณะนี้ผู้ว่าฯเดอแซนติส ยังไม่ได้ประกาศว่าจะเข้าลงแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังถูกอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สกัดดาวรุ่งตั้งหน้าตั้งตากระหน่ำโจมตีอยู่ตลอดเวลา โดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะเกรงว่า หากผู้ว่าฯเดอแซนติส ได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันก็จะเข้าไปเป็นก้างขวางคอ เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวและน่าเกรงขาม

โดยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เพียรพยายามที่จะออกปากเสนอที่จะมอบตำแหน่งรองประธานาธิบดีให้แก่ผู้ว่าฯเดอแซนติส แต่ปรากฏว่าผู้ว่าฯท่านนี้ยังแสดงท่าทีนิ่งเฉยหลีกเลี่ยงที่จะออกมาแสดงความคิดเห็น แถมตอนนี้เขาแทบจะไม่พูดจาอะไรที่เข้าไปมีส่วนพัวพันต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์เลยแม้แต่คำเดียว!!!

และต้องไม่ลืมว่าการเลือกตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในแต่ละสมัยนั้น รัฐฟลอริดามักจะเป็นรัฐชี้ขาดในการเลือกตั้งแทบทุกครั้งไปเพราะรัฐฟลอริดามีจำนวนคะแนน Electoral votes สูงถึง 30 คะแนน

อีกทั้งการที่ผู้ว่าฯเดอแซนติส ยังคงรีๆรอๆที่จะประกาศลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น ก็สืบเนื่องมาจากตามกฎหมายของรัฐฟลอริดานั้น หากเขาต้องการที่จะลงเลือกตั้งเขาจะต้องลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯรัฐฟลอริดาเสียก่อน และหากว่าผู้ว่าฯเดอแซนติสประกาศลงแข่งขันอย่างเป็นทางการแล้วละก็ เขาก็จะเปิดหน้ากลายเป็นคู่อริอย่างเปิดเผยต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เท่ากับว่าขณะนี้ผู้ว่าฯเดอแซนติสอาจจะต้องการซื้อเวลาเล็งหาโอกาสเหมาะๆไปก่อนก็เป็นไปได้

และจากการหยั่งเสียงของสำนักโพล Morning Consult เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2023 นี้เปิดเผยออกมาว่า คะแนนนิยมที่ผู้ว่าฯเดอแซนติสได้รับนั้น มีสูงกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าเกรงขามมิใช่น้อย

จากการหยั่งเสียงครั้งล่าสุดของ Public Opinion Strategies ระหว่างวันที่ 11-13 เมษายน 2023 ยังปรากฏออกมาเช่นเดียวกันว่า คะแนนนิยมของผู้ว่าฯเดอแซนติส มีสูงกว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในสามรัฐสำคัญๆอันได้แก่ รัฐเพนซิลเวเนีย รัฐแอริโซนา และ รัฐฟลอริดา

อนึ่งแม้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะมากด้วยประสบการณ์ มีความสุขุมรอบคอบสูง แต่คนอเมริกันส่วนใหญ่เล็งเห็นว่าหากประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้รับเลือกในสมัยที่สอง เขาก็จะมีอายุปาเข้าไป 82 ปีแล้ว ซึ่งน่าจะเป็นอุปสรรคในการบริหารประเทศ แต่ดูเหมือนว่าขณะนี้พรรคเดโมแครตก็ยังไม่มีตัวเลือกที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะเข้าไปแข่งขันต่อกรฉะฝีปากกับประธานาธิบดีทรัมป์ หรือแม้แต่กับผู้ว่าฯเดอแซนติสได้เลย!!!

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นขณะนี้ผู้ที่จะมีโอกาสเข้าสู่ทำเนียบขาวคนต่อไป ดูๆไปแล้วเห็นท่าทีที่อยู่ในข่ายแค่เพียงสามคนเท่านั้นนั่นก็คือประธานาธิบดีโจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และผู้ว่าฯรอน เดอแซนติส และในเดือนมิถุนายน 2023 ที่จะถึงนี้ เราก็คงจะมีโอกาสที่จะได้รับทราบว่า ผู้ว่าฯเดอแซนติส จะตัดสินใจอย่างไร? และจากนั้นเป็นต้นไปการเมืองสหรัฐฯก็คงจะตีระฆังเริ่มขึ้นสังเวียนแข่งขันในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาได้อย่างชัดเจนยิ่งๆขึ้น ซึ่งผมจะนำมาเสนอในฉบับต่อๆไปละครับ