ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“ชีวิตของคนเราบนโลก ณ วันนี้ หาได้ยืนยาวกันสักเท่าใดนัก และที่มันแน่นอน และ สำคัญก็คือวิถีแห่งสัจจะที่ว่า..ชีวิตเรามีความเป็น” วันนี้ “แค่เพียงวันเดียวเท่านั้น...นั่นจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องคิดที่จะใช้ความเป็นชีวิตแห่งชีวิตของวันนี้ให้ได้ดีที่สุด ด้วยการหยั่งรู้ถึงเหตุแห่งการกระทำในทุกสรรพสิ่ง และดำรงอยู่กับทั้งจิตวิญญาณ และสภาพการณ์ของมันอย่างนบน้อมและรู้เท่าทัน ซึ่งนั่นจะกลายเป็นพหุปัญญาแห่งการรอบรู้ของชีวิต ในการตีโจทย์และแก้โจทย์ของทุกๆปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นมาโจมตีและรบเร้าชีวิตจนเสียสมดุลอันควรจะเป็นไปได้ในที่สุด..."

นี่คือปฐมบทแห่งแกนนำทางความคิดของหนังสือที่ส่องทางแก่ชีวิตให้รู้คุณค่าของตัวตนในห้วงขณะแห่งการมีชีวิตอยู่ในแต่ละห้วง อย่างเป็นประโยชน์สุขที่สุด..

“อย่าลืมว่าเรามีวันนี้ได้เเค่ครั้งเดียวเท่านั้น” หนังสือความเรียงที่ปลุกตื่นและฉายแสงอันงามตระการแก่สำนึกคิดของชีวิต โดย.. “คิมซังฮยอน” นักเขียนเชิงความคิดล้ำสมัยชาวเกาหลีใต้..ที่โน้มนำให้เราได้คิดว่า..เราต่างใช้ชีวิตของกันและกันมาด้วยเวลาที่ยาวนาน...ผ่านทั้งความสุขและความทุกข์ ...บางชีวิตอาจจะไม่สุขมากแต่มันก็จะค่อยๆสะสมเป็นตัวอย่างแห่งอุทาหรณ์ที่สามารถนำพาเราให้บรรลุถึงบทสรุปอันชวนใคร่ครวญต่อการเป็นแบบเรียนของชีวิตที่แท้ได้..เนื่องเพราะสิ่งต่างๆที่ได้เกิดขึ้นล้วนถูกจดจารจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ตกผลึกเป็นรูปรอยในการเรียนรู้ถึงข้อตระหนักนานา ทั้งด้วยธรรมชาติ และสัญชาตญาณของตัวเอง รวมทั้งคนอื่นๆที่เคยเป็นสัมพันธภาพ ที่เฝ้าหยั่งมองเข้ามา..นั่นคือภาพลักษณ์ที่ส่องสะท้อนนัยของชีวิต...ให้กลืนกลายสู่การเป็นภาพพิมพ์ของโลกแห่งความหมายรวมอันเดียวกัน..ไม่วันใดก็วันหนึ่ง..

“ในสักวันหนึ่ง คุณก็คงจะเป็นบุคคลที่ไม่สามารถหายออกไปจากใจของใครสักคนได้..อาจจะเป็นบุคคลที่เป็นตัวละครสำคัญทางประวัติศาสตร์ บุคคลที่แสนเยี่ยมยอดของใครคนใดคนหนึ่งก็เป็นได้..ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ก็ดีไปเสียหมด จึงขอเพียงหวังว่า...คุณจะได้ถูกบันทึกในหนึ่งหน้ากระดาษของใครสักคนหนึ่ง..เพียงแค่ต้องการใช้ชีวิต โดยค่อยๆสะสมความสุข..ทั้งก้อนใหญ่..ทั้งความสุขก้อนน้อยจากสิ่งรอบตัวไปเรื่อยๆ แม้มันอาจจะไม่ ได้เป็นชีวิตที่มีแต่ความสุขเอ่อล้น...แต่หากความสุขที่เราสะสมมามันค่อยโตขึ้น..มันก็จะทำให้เรามีความสุขได้อย่างสม่ำเสมอ ขอเพียงเท่านั้น..”

คำกล่าวถึงสาระสำคัญในส่วนนี้ของหนังสือ  เน้นย้ำให้เราได้เห็นถึงข้อประจักษ์ที่สำคัญอันเป็นพลังของหนังสือว่า .. “ในเมื่อชีวิตมีเพียงครั้งเดียว ก็จงใช้ชีวิตด้วยการทำ..ในสิ่งที่ตัวเองอยากทำเถอะ”  และนั่นย่อมคือความหมายรวมแห่งอำนาจทางความคิดที่ “คิมซังฮยอน” ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้ตอกย้ำแก่ผู้อ่าน..จนกลายหลักชัยสำคัญทางปัญญาที่สามารถยึดมั่นไว้ได้อย่างแท้จริง

ในเมื่อชีวิตมีเพียงแค่ครั้งเดียว ก็จงใช้ชีวิตกระทำในสิ่งที่อยากกระทำ..หลักคิดแรกนี้เปิดกว้างถึง เจตจำนงของชีวิตที่ควรจะเป็น..เรามีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด ในเงื่อนไขแห่งข้อจำกัดของวันเวลาดั่งนี้..นอกไปเสียจากการทุ่มเทชีวิต...ต่อภาวะของการดำรงอยู่เพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อย่างล้ำค่าเท่านั้น

แทนที่จะใช้ชีวิตไปกับความผิดพลาดของเมื่อวาน..ขอจงใช้ชีวิตไปกับความเพลิดเพลินของวันนี้เสียดีกว่า.. มันคือวิสัยของการมีชีวิตอยู่ ที่ต้องเลือกเห็น ในวิถีแห่งคุณค่าแท้จริง.ที่จะสร้างความสุขให้เกิดกับ...การดำเนินไปของชีวิต ที่จะไม่หม่นหมองและขุ่นข้องใจ...แม้เมื่อใด...

เป้าหมายสุดท้ายของทุกๆชีวิต...ย่อมขอแค่ชีวิตเพียงมีความสุขก็พอ นี่เป็น ภาวะเฉพาะอันตายตัวของทุกๆคน ที่หยั่งเห็นถึงสัจธรรมที่แท้ในชีวิต..ทุกคนสามารถพานพบความสุขอันเป็นของตนได้ด้วยผัสสะที่เกิดขึ้นกับมรรคาของความจริง...

ชีวิตเต็มไปด้วยสิ่งที่ต้องเลือก..ขอให้อย่าเสียดายกับทางที่ไม่ได้เลือก...แม้ในที่สุดแล้วทางที่เราเลือกนั้น..จะไม่พบกับความสุขสำเร็จเลยก็ตาม

โลกของเรา ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ จึงไม่แปลกที่เราจะไม่สมบูรณ์แบบ มีบางครั้งที่เราต้องลงโทษตัวเอง แต่ก็ต้องอย่าลืมที่จะให้กำลังใจชีวิตด้วยเช่นกัน... เหล่านี้..คือแรงเหวี่ยงที่จะสร้างพลังใจแก่ชีวิต...เพื่อจะได้มองเห็นตัวตนที่แท้ ในรสสัมผัสแห่งการใช้ชีวิตออกไปเบื้องหน้าอย่างรู้เท่าทัน..

จิตใจคุณ จะขยายใหญ่ขึ้น เมื่อได้เป็นผู้ให้..

แม้จะบอกใครๆว่าเป็นคนตรงๆ แต่การแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ย่อมไม่ใช่ การที่ต้องไปทำร้ายผู้อื่น..

แม้จะถูกหัวเราะ(เยาะ)ให้กับความฝันของคุณ ก็ขอให้จำไว้ว่า ทุกๆความสำเร็จนั้น ต้องเริ่มต้นมาจากความฝันทั้งสิ้น..

โลกเปลี่ยนไปได้ เมื่อทุกคนเอื้อเฟื้อแก่กัน

หาพื้นที่ที่เป็นของคุณ..ที่ที่คุณจะเปล่งประกายได้เต็มที่..

แม้จะถูกตัดสินจากคนภายนอก แต่อย่าลดทอนคุณค่าของคุณ ด้วยการเชื่อคำตัดสินเหล่านั้น..

จงขอบคุณตัวเองในทุกวัน ที่สามารถนำพาชีวิตผ่านทุกๆวันมาได้..

และสุดท้าย...ณ เป้าหมายท้ายสุดของทุกๆชีวิต ย่อมขอแค่มีความสุขก็พอแล้ว..

ข้อคิดจากหนังสือเล่มนี้...เหมือนเป็นบทสรุปจากวันหนึ่งๆ ที่ชีวิต ได้สร้างบทบาทความหมายในแต่ละวันขึ้นมา การใช้ชีวิตของคนเราในแต่ละคน แม้จะมีความแปลกต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นย่อมคือตัวตนที่แท้แห่งปรากฏการณ์ของชีวิต ที่ฉายภาพแสดงออกมาเป็นส่วนๆให้ได้ทบทวนถึงเนื้อแท้แห่งกันและกัน ..นั่นหมายถึงว่าชีวิตในแต่ละชีวิตย่อมมีตราประทับแห่งการกระทำอันเร้นลึกของตน ผ่านวันคืนในแต่ละวันคืนด้วยกันเสมอ นั่นคือสัญญาณเริ่มต้นและลงท้ายของชีวิตที่ต้องสนองรับ ด้วยจิตวิญญาณที่ตื่นรู้และตระหนักรู้อยู่เสมอ..

“มินตรา อินทรารัตน์”..แปลและถอดความ ถ้อยคำสำนึกของหนังสือนี้ได้อย่างลึกซึ้ง เข้าใจ และ กินใจ.. โดยเฉพาะ...ประเด็นแห่งโลกของความหมายที่แฝงฝังอยู่ในบทตอนแห่งการหยั่งรู้...เนื้อในแห่งนัยเปรียบเทียบในทุกๆประเด็น.. นี่คือหนังสือ  ที่ชวนให้สัมผัสในเชิงลึก เพื่อแปลความอรรถประโยชน์ออกมา สู่การเรียนรู้และจดจำโดยแท้..

“ในสักวันหนึ่ง...คุณก็อาจจะเป็นบุคคล ที่ไม่สามารถหายออกไปจากใจของ..ใครสักคนได้”