ร้อนจัดทำเกษตรกรเฉา!! ผักเหี่ยว-โตช้า ต้องดน้ำบ่อยมากขึ้น ทำให้ค่าไฟสูบน้ำใต้ดินรดหล่อเลี้ยงพืชผัก ทั้งต้องซื้อแสลนคลุมลูกผักที่ปลูกใหม่ยังไม่แข็งแรงไม่ให้เหี่ยวแห้งตาย ส่งผลให้แบกรับภาระต้นทุนเพิ่มจากปกติเท่าตัว ขณะรายได้ลดลง
วันที่ 25 เม.ย.66 เกษตรกรบ้านโคกตาล ต.สะแกซำ อ.เมืองจ.บุรีรัมย์ ที่ปลูกผักขายเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดกว่าทุกปีที่ผ่านมา โดยช่วงนี้อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 39-40 องศาเซลเซียส ทำให้พืชผักสวนครัวที่ปลูกเอาไว้ขาย เหี่ยวเฉาเร็วและโตช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะลูกผักที่ปลูกใหม่ยังไม่แข็งแรงดีเสี่ยงเหี่ยวแห้งตายได้ง่าย เกษตรกรจึงต้องลงทุนซื้อแสลนมาคลุมแปลงผักที่ปลูกใหม่เพื่อกันแสงแดด ทั้งต้องสูบน้ำใต้ดินรดหล่อเลี้ยงผักบ่อยมากขึ้น จากปกติรดแค่วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น แต่ช่วงที่อากาศร้อนจัดต้องฉีดน้ำรดหล่อเลี้ยงวันละ 3-4 ครั้ง ทำให้ต้องแบกรับภาระต้นทุนทั้งซื้อแสลน และค่าไฟที่สูบน้ำรดหล่อเลี้ยงผักเพิ่มขึ้นจากปกติเท่าตัว ก็ส่งผลให้รายได้ลดลง
นายประสิทธิ์ แดงชาติ อดีตข้าราชการเกษียณที่หันมาปลูกผักสวนครัวขายเป็นอาชีพเสริม บอกว่า เกษตรกรในหมู่บ้านปลูกผักสวนครัวเรือนขายกว่า 20 ครัวเรือน บอกว่าปีนี้ร้อนจัดกว่าทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วงที่อากาศร้อนจัดก็จะปลูกยากกว่าฤดูอื่น เพราะเหี่ยวเฉาง่ายและโตช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะลูกผักที่ปลูกใหม่ยังไม่แข็งแรงต้องใช้แสลนคลุมกันแดนเอาไว้ไม่ให้โดนแดดโดยตรง และต้องรดน้ำหล่อเลี้ยงบ่อยมากขึ้นกว่าหน้าหนาวหน้าฝน ทำให้ต้องเสียค่าไฟที่สูบน้ำใต้ดินรดผักเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากปกติเฉลี่ยเดือนละ 600-00 บาท ช่วงนี้เพิ่มขึ้นเดือนละกว่า 1,000 บาท ทำให้ต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ก็กระทบกับรายได้
เช่นเดียวกับ นายสำเนา เกิดมาดี เกษตรกรบ้านโคกตาลที่ปลูกผักสวนครัว เช่น กระเพราะ โหระพาขาย บอกว่า ปีนี้ร้อนมากทำให้กระทบกับผักสวนครัวที่ปลูกเอาไว้ขายเหี่ยวเฉาเร็วขึ้น จึงต้องรดน้ำหล่อเลี้ยงบ่อยครั้งวันละ 3-4 ครั้ง จากปกติรดแค่วันละ 2 ครั้งเท่านั้น ทำให้ต้องรับภาระต้นทุนค่าไฟที่สูบน้ำใต้ดินมารดผักเพิ่มขึ้นเท่าตัว เพราะถ้าไม่รดบ่อยผักก็อาจจะเหี่ยวแห้งตายได้