นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธาน และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เดือนมี.ค.66 ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปอยู่ที่ 98,381 คัน เพิ่มขึ้น 4.84% จากเดือนเดียวกันปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 84,054 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.89% จากเดือนเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ในช่วงไตรมาส 1/66 (ม.ค.-มี.ค.) มียอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป รวมทั้งสิ้น 273,692 คัน เพิ่มขึ้น 12.57% จากไตรมาส 1/65 ขณะที่ยอดการผลิตรถยนต์สำเร็จรูป เดือนมี.ค.66 อยู่ที่ 179,848 คัน เพิ่มขึ้น 4.16% ส่วนไตรมาส 1/66 มียอดการผลิตรถยนต์สำเร็จรูปรวมทั้งสิ้น 507,787 คัน เพิ่มขึ้น 5.77% จากไตรมาส 1/65 ส่วนยอดการจำหน่ายรถยนต์สำเร็จรูป เดือนมี.ค.66 อยู่ที่ 79,943 คัน ลดลง 8.37% ส่วนไตรมาส 1/66 มียอดการจำหน่ายรถยนต์สำเร็จรูปรวมทั้งสิ้น 217,073 คัน ลดลง 6.11% จากไตรมาส 1/65

โดยแนวโน้มราคารถยนต์มีโอกาสที่บางรุ่นจะปรับราคาเพิ่มขึ้น ในขณะที่บางรุ่นไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากมีการแข่งขันสูง ประกอบกับมีปัจจัยกดดันจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น และหนี้ครัวเรือนของไทยที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นปัญหาต่อการพิจารณาปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยเฉพาะรถกระบะ ซึ่งพบว่ามีสัดส่วนการเช่าซื้อสูงถึง 80% ดังนั้นจึงอาจจะทำให้ยอดการจำหน่ายรถกระบะยังมีโอกาสจะลดลงได้ต่อเนื่อง จากที่มีการลดลงมาตลอดในช่วง 3 เดือน



ทั้งนี้เชื่อว่าในปีนี้ยอดการผลิตรถยนต์ จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 1.95 ล้านคัน เนื่องจากเฉพาะไตรมาสแรกปีนี้สามารถผลิตได้แล้วถึงกว่า 5 แสนคัน รวมทั้งยังเชื่อว่าการส่งออกรถยนต์ปีนี้จะทำได้ตามเป้าที่ 1.05 ล้านคัน อย่างไรก็ดีต้องติดตามสถานการณ์ปัญหาสถาบันการเงินทั้งในสหรัฐอเมริกา และยุโรป เพราะเป็นปัจจัยใหม่ที่เพิ่มเข้ามา รวมถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้นำเข้า รวมทั้งต้องจับตาปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่เริ่มมีความตึงเครียดมากขึ้นด้วย

"ขณะนี้มีปัจจัยลบใหม่เข้ามาคือ ปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐ และยุโรป ซึ่งแม้จะแก้ไขได้รวดเร็ว แต่อนาคตยังไม่รู้จะมีอะไรเกิดขึ้น และยังมีการทยอยถอนเงินในธนาคารของอังกฤษอยู่ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังมีปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น สิ่งเหล่านี้จะบั่นทอนกำลังซื้อของประเทศคู่ค้า"