เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2566 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อัพเดตสถานการณ์โรคโควิด-19 และสายพันธุ์ที่กำลังระบาด ว่า ในประเทศไทยพบ "กลุ่ม XBB" ประมาณร้อยละ 52  และ  "XBB.1.16" ร้อยละ 9.4 จับตาแอนติบอดีสำเร็จรูป "หนึ่งเดียว" ที่สามารถทำลายโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย  XBB.1, XBB.1.5, และ XBB.1.16  ล่าสุดองค์การอนามัยโลกประกาศอัปเกรดให้ XBB.1.16 จาก "สายพันธุ์ภายใต้การตรวจสอบ"  เป็น "สายพันธุ์ที่น่าสนใจ" แต่ยังไม่ถึงขั้น  “สายพันธุ์ที่น่ากังวล"

กลุ่มนักวิจัยสหรัฐวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ติดเชื้อโควิด-19 และข้อมูลการกลายพันธุ์ของไวรัสแต่ละสายพันธุ์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง สรุปว่า การฉีดวัคซีนเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ควรผนวกกับมาตรการอื่น เช่น กินร้อน, ช้อนกลาง, ใส่หน้ากาก, เว้นระยะห่าง, ใช้ยาต้านไวรัส, และใช้แอนติบอดี ฯลฯ เพื่อช่วยลดการกลายพันธุ์และควบคุมการระบาดโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ.

เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้อัปเกรดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย XBB.1.16 เป็น "สายพันธุ์ที่น่าสนใจ" (VOI: variant of interest) เนื่องจาก"การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง" และ "ข้อได้เปรียบของ XBB.1.16 ในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) เหนือกว่าสายพันธุือื่นจากหลายประเทศ  โอไมครอน XBB.1.16 พบครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มกราคมปีนี้ และองค์การอนามัยโลกปรับให้เป็นสายพันธุ์ภายใต้การตรวจสอบ (VUM: variant under monitoring) เมื่อวันที่ 22 มีนาคม

องค์การอนามัยโลกแจ้งว่าจนถึงขณะนี้ มีการรายงานรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมบนฐานข้อมูลโควิดโลกจีเสส (GISAID)  ของโอไมครอนลูกผสม XBB.1.16 จำนวน 3,648 ตัวอย่างจาก 33 ประเทศ รวมทั้งอินเดีย ในขณะที่(ยังไม่มี) รายงานการเปลี่ยนแปลงความรุนแรง

องค์การอนามัยโลกตั้งข้อสังเกตว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโอไมครอน XBB.1.16  และเจ็บป่วยต้องรักษาตัวในอินเดียและอินโดนีเซีย เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ระดับนี้ "ต่ำกว่าที่เห็นในการระบาดระลอกก่อนหน้านี้"

นอกจากนี้ "ข้อมูลที่มีอยู่ไม่ได้บ่งชี้ว่าโอไมครอน XBB.1.16 มีความเสี่่ยงด้านสาธารณสุขเพิ่มเติมเมื่อเทียบกับโอไมครอน XBB.1.5 ที่เป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้

ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญบางคนตั้งชื่อเล่นให้โอไมครอน XBB.1.16 ว่า อาร์คทูรัส (Arcturus) ตามชื่อดาวที่สว่างที่สุดในซีกโลกเหนือ อย่างไรก็ตามองค์การอนามัยโลกจะไม่ตั้งชื่อให้กับโอไมครอน XBB.1.16 องค์การอนามัยโลกจะกำหนดชื่อภาษากรีกให้เฉพาะโควิด “สายพันธุ์ที่น่ากังวล (VOC: variant of concern)” เท่านั้น จะไม่ตั้งให้กับ "สายพันธุ์ที่น่าสนใจ (VOI: variant of interest)” หรือ “สายพันธุ์ภายใต้การตรวจสอบ (VUM: variant under monitoring)”

การตรวจกรองกลุ่มโอไมครอนลูกผสม XBB อันรวมถึง XBB.1.16

ปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 พบการระบาดของโอไมครอนลูกผสม XBB.1.16 ในหลายประเทศ และ 1 เมษายน 2566 ศูนย์จีโนมฯ ร.พ. รามาธิบดี รายงานพบผู้ติดเชื้อ XBB.1.16 รายแรกในประเทศไทยอาศัยข้อมูลรหัสพันธุกรรมจากฐานข้อมูลโควิดโลก “จีเสส (GISAID)”

วันที่ 21 เมษายน 2566 ศูนย์จีโนมฯ ร.พ. รามาธิบดี ได้ดึงข้อมูลรหัสพันธุกรรมจากฐานข้อมูลโควิดโลก “จีเสส” มาวิเคราะห์พบโอมิครอน 14 สายพันธุ์ย่อยที่พบมากในประเทศไทยเรียงตามลำดับดังนี้  โดยพบกลุ่มไวรัสสายพันธุ์ XBB* ประมาณร้อยละ 52  และ  XBB.1.16 อยู่ในลำดับที่ 5 จำนวน 21 รายจาก 224 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 9.4 จากเชื้อโควิด-19ทั้งหมดที่ถอดรหัสพันธุกรรมภายในประเทศในช่วง 1 เดือนครึ่งที่ผ่านมา

XBB.1.5  จำนวน 34 ราย (15.2%)

BN.1.3  จำนวน 23  ราย (10.3%)

BN.1.2  จำนวน 22  ราย (9.8%)

XBB.1.9.1 จำนวน 22 ราย (9.8%)

XBB.1.16 จำนวน 21 ราย (9.4%)***ลำดับที่ 5

XBB.1.9.2 จำนวน 10 ราย (4.5%)

BN.1.2.3 จำนวน 7 ราย (3.1%)

CH.1.1  จำนวน 6 ราย (2.7%)

XBB.2.3 จำนวน 6 ราย (2.7%)

XBL จำนวน 5 ราย (2.2%)

XBB.1.5.24 จำนวน 4 ราย (1.8%)

BA.2 จำนวน 3 ราย (1.3%)

BA.2.75 จำนวน  3 ราย (1.3%)

BN.1 จำนวน  3 ราย (1.3%)

ขณะนี้ทางศูนย์จีโนมฯ รพ. รามาธิบดี ได้พัฒนาชุดตรวจเชื้อโอไมครอนของกลุ่มสายพันธุ์ย่อย XBB* เพื่อสามารถแยกจากสายพันธุ์อื่นเสร็จเป็นที่เรียบร้อยด้วยเทคโนโลยี Mass array genotyping โดยตรวจรู้ผลภายใน 24-48 ชั่วโมง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการตรวจ PCR (ที่ไม่อาจตรวจทราบสายพันธุ์) เพียงเล็กน้อย และประหยัดกว่าการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสทั้งจีโนม เนื่องจากมีความจำเป็นสำหรับแพทย์เพื่อเลือกใช้ยาต้านไวรัสประเภทแอนติบอดีสำเร็จรูปกับผู้ป่วยได้ถูกต้องและทันท่วงที  ซึ่งทีมนักวิจัยประเทศญี่ปุ่นนำโดย ดร. เคอิ ซาโต้ (Kei Sato) จากมหาวิทยาลัยโตเกียว พบว่ามีแอนติบอดีสำเร็จรูปเพียงชนิดเดียวคือ “โซโทรวิแมบ (Stromab)” ที่แสดงฤทธิ์ต้านไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย XBB.1, XBB.1.5, XBB.1.16 ได้ดี ส่วนแอนติบอดีสำเร็จรูปประเภทอื่นไม่สามารถเข้าจับและทำลายบรรดาโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย XBB* เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ไปมากจนแอนติบอดีจำไม่ได้

ศูนย์จีโนมฯ รพ. รามาธิบดี ยังเร่งพัฒนาต่อยอดชุดตรวจในปัจจุบันให้สามารถแยกโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย ครอบคลุมสายพันธุ์ที่กำลังเป็นปัญหา อาทิ  XBB.1.16,XBB.1.9.1, และ XBB.1.5 ออกจากสายพันธุ์อื่นเพื่อการรักษาแบบมุ่งเป้าหรืออย่างจำเพาะด้วยแอนติบอดีสำเร็จรูป คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อให้ทันต่อการระบาดใหญ่ของบรรดาสายพันธุ์ย่อยในกลุ่ม XBB ที่กำลังเกิดขึ้น

ศูนย์จีโนมฯ รพ. รามาธิบดี ยังได้ทำการวิเคราะห์จากรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมพบว่าโอไมครอนลูกผสม XBB.1.16 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) เหนือกว่า

XBB.1.5 ประมาณ 84%

BN.1.3  ประมาณ 138%

BN.1.2  ประมาณ 135%

XBB.1.9.1 ประมาณ 55%

XBB.1.9.2 ประมาณ 48%

คาดว่า XBB.1.16 จะเข้ามาแทนที่ BN1.3, BN.1.2, และ XBB.1.5 ในประเทศไทยภายใน 1-3 เดือนจากนี้

ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกพบว่า  XBB.1.16 มีค่าระดับการติดเชื้อยังผล (Effective reproduction number)สูงกว่า XBB.1 และ XBB.1.5 ประมาณ 1.27 และ 1.17 เท่า ตามลำดับ ซึ่งบ่งชี้ว่า XBB.1.16 มีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายไปทั่วโลกโดยเข้ามาแทนที่สายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่ในขณะนี้คือ XBB.1 และ XBB.1.15

หมายหตุ

ค่าระดับการติดเชื้อยังผล (Re): เป็นพารามิเตอร์ทางระบาดวิทยาที่สำคัญซึ่งวัดความสามารถในการแพร่เชื้อของโรคติดเชื้อ

แสดงถึง: จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่โดยเฉลี่ยที่เกิดจากผู้ติดเชื้อรายเดียว

Re > 1: การระบาดใหญ่ขึ้น (ผู้ติดเชื้อแต่ละคนแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นมากกว่าหนึ่งคน)

Re < 1: การระบาดลดลง (ผู้ติดเชื้อแต่ละคนติดเชื้อน้อยกว่าหนึ่งคน)

Re = 1: สถานการณ์คงที่ (จำนวนผู้ติดเชื้อคงที่)

การรักษาการติดเชื้อโอไมครอนลูกผสมกลุ่ม XBB* อันรวมถึง XBB.1.16 ด้วยแอนติบอดีสำเร็จรูป

ในกลุ่มเปราะบางที่ติดเชื้อโควิดในบางกรณีแพทย์อาจให้ยาแอนติบอดีสำเร็จรูป (monoclonal antibody) เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันในทันที เพื่อต่อสู้กับเชื้อโควิดในร่างกาย อาทิ

แบมลานิวิแมบ (Bamlanivimab/LY-CoV555) มีเป้าหมายเข้าจับกับโปรตีนหนามของ ไวรัสโควิด-19  ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์

อีเทเสวิแมบ (Etesevimab/LY-CoV016) มักใช้ร่วมกับ แบมลานิวิแมบ เพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

คาซิริวิแมบ (Casirivimab/REGN10933 และ อิมเดวิแมบ (Imdevimab/REGN10987) มีเป้าหมายที่โปรตีนหนามของไวรัสโควิด -19 เมื่อใช้ร่วมกันในรูปยาผสมจะเรียกว่า โรนาพรีเว่ (Ronapreve หรือ REGEN-COV สามารถลดความเสี่ยงของโควิด-19 รุนแรงได้

โซโทรวิแมบ (Sotrovimab/VIR-7831) เป็นโมโนโคลนอลแอนติบอดีชนิดเดียวในปัจจุบันที่สามารถจับกับส่วนหนามและทำลายโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย  XBB.1, XBB.1.5, และ XBB.1.16 ลงได้ ลดความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะกลุ่มโอไมครอน XBB*

สถาบันสาธารณสุข โรเบิร์ต ค็อค (Robert Koch Institute/RKI) ประเทศเยอรมัน แนะนำให้ใช้ยาต้านไวรัส แพกซ์โลวิด, เรมเดซิเวียร์ (Paxlovid, Remdesivir) และ แอนติบอดีสำเร็จรูป โซโทรวิแมบ (Sotrovimab) ในการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19

โทซิลิซูแมบ (Tocilizumab) จากการวิจัยพบว่าสามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงของโควิด-19 ได้ ซึ่งเข้าระงับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่มากเกินไปหรือที่เรียกว่า "พายุไซโตไคน์" อันนำไปสู่การอักเสบรุนแรง อาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (ARDS)

ซิลกาวิแมบ และ ทิซาจวิแมบ (Cilgavimab & Tixagevimab) - โมโนโคลนอลแอนติบอดีเหล่านี้มีเป้าหมายที่ส่วนต่าง ๆ ของโปรตีนของไวรัสโควิด-19  เมื่อใช้ร่วมกันเรียกว่า อีวูเชลด์ (Evusheld/AZD7442) เป็นยาแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาว (Long-acting Antibody - LAAB) ซึ่งได้รับการพัฒนาเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19

การรักษาการติดเชื้อโอไมครอนลูกผสมกลุ่ม XBB* อันรวมถึง XBB.1.16   ด้วยยาต้านไวรัส จากข้อมูลล่าสุดพบว่ายาต้านไวรัส เรมเดซิเวียร์ (ให้ทางเส้นเลือดดำ), มอลนูพิราเวียร์, แพกซ์โลวิด, และเอนซิเทรลเวียร์ (remdesivir, molnupiravir, Paxlovid, and ensitrelvir) ซึ่งใช้รับประทานยังคงสามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนของ XBB, XBB.1.5 และน่าจะรวมถึง XBB.1.16 ได้เป็นอย่างดี  ยังไม่พบเชื้อโควิด-19 ดื้อยา

การป้องกันด้วยวัคซีน

ทีมวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นได้แสดงให้เห็นว่า XBB.1.16 สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่ผู้ติดเชื้อได้รับจากการติดเชื้อโอไมครอน  BA.2 มาก่อนประมาณ 18 เท่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิม (B.1.1)  ในขณะที่ XBB.1.16 หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่ผู้ติดเชื้อได้รับจากการติดเชื้อโอไมครอนBA.5 มาก่อนประมาณ 37 เท่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิม (B.1.1) แสดงให้เห็นว่าภูมิคุ้มกันที่เราได้มาจากการฉีดวัคซีนรุ่นแรกและวัคซีนเข็มกระตุ้นชนิดสองสายพันธุ์ (bivalent covid-19 booster) หรือภูมิคุ้มกันผู้ที่เคยติดเชื้อโอไมครอน BA.2 หรือ BA.4/BA.5 มาก่อนอาจไม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อโอไมครอน XBB.1, XBB.1.5, และ XBB.1.16  ได้ดีนัก แต่จะช่วยป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงหรือการเสียชีวิตจากปอดอักเสบได้ดีไม่แตกต่างจากโอไมครอนสายพันธุ์อื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ

เหตุที่หลายฝ่ายคาดว่าโอไมครอน XBB.1.16 จะมาแทนที่ทุกสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบันอาจเนื่องมาจาก (1) มีการกลายพันธุ์โดยเฉพาะส่วนหนามแตกต่างจากโอไมครอน XBB.1.5 และ/หรือ (2) มีกลายพันธุ์เปลี่ยนแปลงโครงสร้างโปรตีนส่วนอื่นที่ไม่ใช่ส่วนหนามร่วมด้วยอันอาจมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) ของไวรัส

ดร. อริจิตต์ จักรวารตี (Arijit Chakravarty) จากสถาบัน Fractal Therapeutics ในเมืองเล็กซิงตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ร่วมมือกับนักวิจัยจากสถาบันต่างๆ ศึกษาข้อจำกัดของการพึ่งพาวัคซีนเพียงอย่างเดียวในการควบคุมแลtหยุดยั้งการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19   พวกเขาสรุปว่าอัตราการแพร่เชื้อที่สูงยังคงสามารถนำไปสู่การกลายพันธุ์เกิดสายพันธุ์ใหม่ได้ แม้ว่าจะมีการฉีดวัคซีนอย่างแพร่หลาย โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องนำการวัคซีนเข้าผนวกกับมาตรการอื่น เช่น กินร้อน ช้อนกลาง ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม  การใช้ยาต้านไวรัส และแอนติบอดีสังเคราะห์  ฯลฯ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเทศที่ใช้หลายมาตรการเข้ามาช่วยควบคุมการระบาดของโควิด-19  เช่น ญี่ปุ่น และไทย  จะมีอัตราผู้เสียชีวิตจากโควิด-19ต่ำ คือ 0.2% และ 0.7%   ในขณะที่ประเทศที่ใช้มาตรการอย่างไม่เคร่งครัด เช่น อเมริกา และอังกฤษ จะมีอัตราผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ค่อนข้างสูง คือ 1% และ 0.9% ตามลำดับ