ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามสัปดาห์หน้าได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ (Flow) และสกุลเงินเอเชีย ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น รวมถึงตัวเลขการส่งออกและรายงานเศรษฐกิจและการเงินเดือน มี.ค.ของไทย ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นและตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในมุมมองผู้บริโภคเดือน เม.ย.,ยอดขายบ้านใหม่,ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core PCE Price Index เดือน มี.ค.และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามจีดีพีไตรมาส 1/66 ของสหรัฐฯ และยูโรโซนด้วยเช่นกัน

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทผันผวนในกรอบอ่อนค่า แต่ฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนปลายสัปดาห์ เงินบาทมีแรงหนุนช่วงสั้นๆ ต้นสัปดาห์ตามทิศทางเงินหยวน หลังจากตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/66 ของจีนออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด แต่ภาพรวมในช่วงต้น-กลางสัปดาห์ยังคงเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบที่อ่อนค่าสอดคล้องกับสกุลเงินเอเชีย เนื่องจากเงินดอลลาร์ยังมีปัจจัยบวกจากท่าทีของเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งหนุนการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม FOMC วันที่ 2-3 พ.ค.นี้ นอกจากนี้การอ่อนค่าของเงินบาทยังสอดคล้องกับสถานะขายสุทธิทั้งหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ดี เงินบาทฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนในช่วงปลายสัปดาห์ตามการฟื้นตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกและทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์มีปัจจัยลบจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาอ่อนแอ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่ปรับเพิ่มขึ้น และยอดขายบ้านมือสองเดือน มี.ค.ที่หดตัวลง

ในวันศุกร์ที่ 21 เม.ย.66 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 34.37 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับ 34.25 บาทต่อดอลลาร์ ในวันพุธก่อนหน้า (12 เม.ย.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 17-21 เม.ย.66 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยที่ 3,827 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตร 22,610 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 13,628 ล้านบาท ขณะที่มีตราสารหนี้หมดอายุ 8,982 ล้านบาท)

ขณะเดียวกันมองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า (24-28 เม.ย.) ประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือน มี.ค.ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ (Flow) และผลประกอบการงวดไตรมาส 1/66 ของบจ.ไทย ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน, รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล, ดัชนี PCE/Core PCE Price Index เดือน มี.ค. รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/66 ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม BOJ, ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/66 ของยูโรโซน รวมถึงกำไรบริษัทอุตสาหกรรมเดือน มี.ค.ของจีน

ความเคลื่อนไหวในสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นไทยร่วงลงแรงจากสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้หุ้นไทยดีดตัวขึ้นช่วงสั้นๆ ต้นสัปดาห์ตามตลาดหุ้นภูมิภาค ก่อนจะร่วงลงในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ เนื่องจากไร้ปัจจัยใหม่ๆเข้ามาหนุน ประกอบกับตลาดประเมินว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกในการประชุมช่วงต้นเดือน พ.ค. ขณะที่กลุ่มนักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาขายสุทธิหุ้นไทยอีกครั้ง สำหรับสัปดาห์ที่ผ่านมาหุ้นไทยปรับตัวลงทุกอุตสาหกรรม โดยกลุ่มพลังงานร่วงลงหนักสุด เนื่องจากมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากราคาน้ำมันในตลาดโลกย่อตัวลง อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มแบงก์มีแรงซื้อคืนช่วงท้ายสัปดาห์ หลังแบงก์หลายแห่งรายงานผลประกอบการล่าสุดค่อนข้างดี แม้ระหว่างสัปดาห์จะเผชิญแรงกดดันจากประเด็นการปล่อยสินเชื่อแก่บริษัทรายหนึ่งซึ่งเลื่อนส่งงบการเงิน

ในวันศุกร์ (21 เม.ย.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,558.36 จุด ลดลง 2.15% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 51,348.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.42% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 4.77% มาปิดที่ระดับ 519.24 จุด