เมื่อเร็วๆนี้ มีคนร้ายเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนทั่วไป (Hacker) โดยข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว ประกอบไปด้วย เลขบัตรประจำตัวประชาชน, ชื่อ-นามสกุล, วันเดือนปีเกิด,ที่อยู่, และหมายเลขโทรศัพท์ และพบมีการโพสต์จำหน่ายข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวซึ่งเป็นข้อมูลคนไทย 55 ล้านรายการ ต่อมาทางหน่วยงานที่เกียวข้องสืบสวนจนทราบว่า แฮกเกอร์ผู้ก่อเหตุที่ใช้ชื่อ 9near นั้นเป็น “จ.ส.ท.เขมรัฐ บุญช่วย” ทหารสังกัดกรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) โดยผู้ต้องหาได้มอบตัวกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ผู้ก่อเหตุยังไม่ได้นำข้อมูลไปขายหรือนำไปใช้ เพียงเป็นการนำมาโพสต์เพื่อสร้างกระแสในโซเชียลมีเดีย และเป็นการกระทำส่วนบุคคลเท่านั้นตามที่ “นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ยืนยัน แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญอีกบทหนึ่งสำหรับเรื่องความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (cyber security)ของไทย
ข้อที่น่าสนใจคือ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเลือกตั้ง เรื่องความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์นั้นนำไปสร้างเป็นประเด็นทางการเมืองได้อย่างง่ายดาย ทั้งนี้เนื่องมาจากประชาชนให้ความสนใจอย่างมาก แต่ยังมีความรู้ความเข้าใจต่อ cyber security ไม่มากพอ ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังไม่มียุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่อิสระไม่ขึ้นกับใคร ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของรัฐ ในที่สุดการก่ออาชญากรรมไซเบอร์ ที่เป็นการกระทำส่วนบุคคลกลายเป็นเรื่อการก่อการร้ายไซเบอร์ที่สร้างความเสิยหายอย่างกว้างขวางได้
การสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ต้องมีความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับใคร แต่จากข้อมูลทราบว่าประเทศสหรัฐฯกำลังใช้ช่องทางต่าง ๆ แทรกแซงเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของตน โดยใช้ Pacific Northwest National Laboratories (PNNL) มาร่วมมือกับหน่วนงานในประเทศก่อตั้ง"ศูนย์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" (Cybersecurity Center) เพื่อทำการประเมินสภาพแวดล้อมการรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระดับชาติในไทย นอกจากนี้ยังมีบริษัทเอกชน Bow Wave Capital Management ของสหรัฐฯมาลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจฟินเทค อีกด้วย
การกระทำดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของทางเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกา ภายใต้แนวคิด "America First" ซึ่งได้นำเรื่องวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี มาสร้างเป็นเงื่อนไขทางการเมือง และการทหาร ทำให้ประเทศต่างๆสูญเสีย "สิทธิดิจิทัล" และเป็นการขัดขวางการพัฒนาของประเทศที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของโลก