นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจ Digital Marketing และ Digital Economy แรงกระตุ้นเศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการสำรวจพฤติกรรมการรับรู้และทัศนคติของประชาชนในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล จำนวน 1,227 ตัวอย่างทั่วประเทศ ผลการสำรวจพบว่า มูลค่าการซื้อสินค้าหรือบริการผ่านดิจิทัล แพลตฟอร์มปี 2566 คาดจะอยู่ที่ 894,564 ล้านบาท จากจำนวนคนที่คาดจะซื้อทางออนไลน์ 50.2 ล้านคน โดยแต่ละคน มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,485 บาท/ครั้ง/เดือน

สำหรับกลุ่มคนที่ซื้อสินค้าหรือบริการผ่านดิจิทัล แพลตฟอร์มมากที่สุดคือ Gen Z อายุ 10-24 ปี สัดส่วนสูงถึง 92.0% ตามด้วยกลุ่ม Gen Y อายุ 25-39 ปี สัดส่วน 78.6%, กลุ่ม Gen X อายุ 40-54 ปี สัดส่วน 66.7% และกลุ่ม Baby Boomer อายุ 55-72 ปี สัดส่วน 24.4% สาเหตุที่เลือกซื้อของทางออนไลน์ เพราะมีสินค้าและบริการให้เลือกหลากหลาย ความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม มีระบบป้องกันและรักษาข้อมูลของผู้ซื้อ มีโปรโมชันและส่งเสริมการขาย เป็นต้น

ขณะที่ความถี่ในการซื้อของออนไลน์ กลุ่ม GenY และ Z มักซื้อเป็นประจำทุกวัน ซึ่งส่วนใหญ่จะกดดูสินค้าไปเรื่อยๆ ชอบอะไรก็ซื้อ และซื้อของราคาไม่แพงมาก หลักร้อยบาท แต่กลุ่ม Gen X 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และกลุ่ม Baby Boomer มักนานๆ ครั้ง ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 1,485 บาท/ครั้ง/เดือน โดยการชำระเงิน ทุก Gen นิยมชำระทางแอปฯ ของธนาคาร บริการชำระเงินออนไลน์ เช่น PayPal, Google Pay, ATM และเคาน์เตอร์ธนาคาร ส่วนกลุ่ม Baby Boomer ส่วนใหญ่จะจ่ายเป็นเงินสดแบบเก็บเงินปลายทาง

เมื่อถามถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล พบว่า โดยเฉลี่ยคนไทยใช้ระยะเวลาในสื่อสังคมออนไลน์ 7 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบมากถึง 48.9% ระบุว่า มีความเสียหายจากภัยคุกคาม หรือการล่อลวงทางการเงินออนไลน์ ส่วนอีก 40.5% ระบุเสียหายปานกลางถึงน้อย และอีก 10.6% ไม่สร้างความเสียหายเลย โดยแนวทางในการรับมือภัยคุกคามทางการเงินออนไลน์ คือ งดหรือหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมที่เสี่ยงต่อภัยคุกคามทางการเงิน เช่น กดลิงก์แปลกปลอม, ตรวจสอบข้อมูลละเอียดก่อนทำธุรกรรมทุกครั้ง รักษาข้อมูลส่วนตัว, ติดตามข่าวสาร เพื่อให้รู้เท่าทันกลโกง, ทำธุรกรรมการเงินผ่านออนไลน์เท่าที่จำเป็น

เมื่อถามถึงการติดตามข่าวสารทางการเมืองของประชาชน ส่วนใหญ่ใช้โซเชียลมีเดียในการติดตามข่าว ตามด้วยโทรทัศน์/วิทยุ, เว็บไซต์, หนังสือพิมพ์ และข้อความ SMS นอกจากนี้ คนทุกกลุ่ม บอกว่าข่าวสารพรรคการเมืองจากสื่อออนไลน์ มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งครั้งนี้เป็นอย่างมาก

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ธุรกิจแพลตฟอร์มออนไลน์คิดเป็นมูลค่า 9 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูง อย่างไรก็ดีหลังการเลือกตั้งหากรัฐบาลชุดใหม่มีนโยบายด้านนี้จะทำให้ธุรกิจดิจิทัลเติบโตมากขึ้น ซึ่งจากการประเมินมูลค่าการซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม ในปี 2566 พบว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครั้งต่อเดือนอยู่ที่ 1,485 บาท โดยมีจำนวนคนที่ซื้อผ่านออนไลน์ 50.2 ล้านคน มูลค่าการซื้อขาย 894,564 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.91%