นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคเอกชนกำลังติดตามการทบทวนค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(Ft) งวด 2/2566 (พ.ค.-ส.ค.) ที่ทราบว่าในวันที่ 21 เม.ย.นี้จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับ Ft ก่อนที่จะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)เพื่อสรุปวันที่ 26 เม.ย.66 โดยภาคเอกชนคาดหวังว่าจะมีการทบทวนสมมติฐานการคำนวณค่า Ft งวด 2/2566 ใหม่ตามที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.)ได้เสนอต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมไปแล้วเมื่อ 10 เม.ย.66 ซึ่งจะทำให้ค่าไฟเฉลี่ยสามารถปรับลดลงจากเดิม 4.77 บาทต่อหน่วยเหลือต่ำกว่า 4.40 บาทต่อหน่วย

สำหรับข้อเสนอในการทบทวนสมมติฐานได้แก่ มาตรการที่ 1.ยืดหนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) จากเดิมงวด 1/2566 จะใช้เวลาคืนหนี้ 3 ปี แต่งวด 2/66 กลับลดลงเหลือ 2 ปี โดยจากกระแสข่าว กฟผ.ได้เสนอการคืนหนี้ไปยัง กกพ.จาก 2 ปี(6 งวด)เป็น 7 งวด โดยไม่กระทบสถานะทางการเงินของ กฟผ.มากเกินไปในช่วงต้นทุนพลังงานขาลง มาตรการที่ 2.ปรับลดค่าก๊าซธรรมชาติเหลว( LNG ) นำเข้า จาก 20 เหรียญต่อล้านบีที (ราคาเฉลี่ยเดือน ม.ค.66) ให้สอดคล้องกับราคาตลาดในปัจจุบัน (ต่ำกว่า 13 เหรียญต่อล้านบีทียู) ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ราคาค่าไฟ งวด 2/66 มีราคาที่สูงจนเกินไปจากการประมาณต้นทุนเดิมที่ค่อนข้างจะ Conservative ในช่วงพลังงานของโลกลดลงตามอุปสงค์และอุปทานหลังฤดูหนาวในยุโรปที่ผ่านมาอย่างมีนัยยะสำคัญ

โดยเอกชนรวมถึงประชาชนทั้งประเทศคาดหวังความอนุเคราะห์จากรัฐบาลปัจจุบัน ในการทบทวนราคา Ft โดยมองเป้าหมาย ค่าไฟฟ้างวดพ.ค.-ส.ค.66 ที่ควรจะต่ำกว่า 4.40 บาทต่อหน่วย เพื่อให้ลดภาระให้กับทั้งครัวเรือนที่มีภาระค่าครองชีพค่อนข้างสูง และภาคธุรกิจในช่วงที่ต้องแข่งขัน ในเวทีโลก อีกทั้งในภาวะตลาดส่งออกที่ชะลอตัว ตามเศรษฐกิจของโลก

นายอิศเรศ กล่าวอีกว่า การตัดสินใจครั้งสำคัญของรัฐบาลปัจจุบัน ต่อค่าไฟฟ้าในงวดเดือน พ.ค.-ส.ค.66 ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของโรงไฟฟ้าเอกชนมากจนเกินไป เพราะที่ควรต้องกังวลก็คือ ทำไมสัดส่วนในการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. จึงเหลือเพียงประมาณ 31% ของทั้งประเทศ ดังนั้นก่อนที่รัฐบาลชุดใหม่ (จะได้เข้ามาบริหารประเทศ และ ดูแลค่าไฟฟ้างวด 3/66 (ก.ย-ธ.ค.66) และต้นทุนพลังงานของประเทศให้เหมาะสม และเป็นธรรมต่อประชาชน ตามที่ท่านได้หาเสียงและประกาศเป็นนโยบายไว้ต่อไป