หมอเจ้าของเพจ "สู้ดิวะ" อัปเดตอาการป่วยตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา หลังจากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค "มะเร็งปอด" ระยะสุดท้าย พร้อมสรุปบทเรียนที่ผ่านมาว่าชีวิตไม่แน่นอน

วันที่ 16 เม.ย.66   คุณหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก "สู้ดิวะ" อัปเดตอาการป่วยผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า สวัสดีครับ  วันนี้ผมจะมาทวนเรื่องของตัวเองหน่อยครับ

Median time to progression 6 months

ตัวเลข 6 เดือนนี้สำคัญกับผมมากครับ มันแปลว่าที่ 6 เดือนหลังจากวินิจฉัยจะมี 50% ของคนที่เป็นโรคมะเร็งปอดชนิดนี้ ที่มีการลุกลามของมะเร็งเพิ่มขึ้น และดื้อต่อการรักษาหลักที่กำลังให้อยู่

ตุลาคม 2565 จุดเริ่มต้นของเรื่องราว  ผมได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งปอดที่มีการลุกลามไปสมอง ผมรับการผ่าตัด รับการตรวจทั้งร่างกาย รับยาเคมีบำบัด รับการฉายแสง

พฤศจิกายน 2565 หลังจากรับผลข้างเคียงทุกอย่าง ขนร่วงหมดตัว ผมเริ่มตั้งหลักกับตัวเองใหม่ ตัดสินใจเปิดเพจ สู้ดิวะ ขึ้นมา เพื่อตั้งใจส่งต่อสิ่งเล็กๆบางอย่าง และมันดันส่งได้จริงๆ

ธันวาคม 2565 ติดตามผลการรักษาครั้งแรกที่ 3 เดือน  ผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บอกว่าก้อนที่ปอดผมมีขนาดเล็กลง และมะเร็งไม่มีการกระจายไปที่อวัยวะอื่นเพิ่มเติม ตัวโรคในภาพรวมยังคงสงบ แต่ก้อนในสมอง ไม่ใช่แบบนั้น เนื่องจากยาที่ผมได้มันผ่านเข้าสมองได้น้อยมาก เชื้อมะเร็งในเนื้อสมองผมจึงเริงร่า  ผมได้เรียนรู้ว่า ชีวิตเราโคตรไม่แน่นอน สุดท้ายเราจะต้องตายและเราไม่รู้ว่ามันจะเป็นวันไหน

มกราคม 2566  อาการผมดีขึ้นมากๆ ผมกลับไปออกกำลังกายได้แทบจะปกติ เล่นบาสได้ ปั่นจักรยานได้ เข้ายิม ฟิตร่างกายให้กลับไปเหมือนตอนก่อนป่วย  ผมได้กลับไปสอนนักศึกษา ได้กลับไปทำงาน เริ่มวางแผนที่จะกลับไปใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป  ผมได้แชร์มุมมองเรื่องงานที่เราอยากทำไปจนวันสุดท้ายกับทุกท่าน

กุมภาพันธ์ 2566 ติดตามในสมอง 3 เดือนหลังจากฉายแสงครบ ถึงแม้ก้อนที่ฉายแสงไปจะยุบลง แต่มีก้อนใหม่เพิ่มขึ้นมา 3 ก้อน  ผมตัดสินใจที่จะสังเกตอาการไปก่อน ขอไปพูดกับน้องสวนกุหลาบก่อน แล้วค่อยว่ากันหลังจากนั้น ถ้าทุกท่านจำได้ ในโพสต์นั้น ผมเขียนว่า

“ผมอาจไม่สามารถพูดอะไรแบบนี้ได้แล้วและอาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยมาพูดงานนี้”
ซึ่งผมหมายความแบบนั้นจริงๆ

เพราะหลังจากได้ไปสวนกุหลาบ  ผมกลับมารับการตรวจสมองอีกครั้ง ก้อนที่เจอครั้งก่อนนั้น โตขึ้นเป็นสองเท่า ร่วมกับมีก้อนใหม่เพิ่มขึ้นอีก
ตอนนี้ในหัวผมมีทั้งหมด 13 ก้อนครับ และ ผมมีอาการชักร่วมด้วย

ผมจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการฉายแสงทั้งศีรษะ เพื่อกำจัดเชื้อมะเร็งที่น่าจะกระจายไปทั่วสมอง ซึ่งก็แปลว่าเนื้อสมองส่วนปกติของผมก็จะโดนรังสีไปด้วย ส่งผลให้สมองผมเสื่อมแน่นอน แค่มากหรือน้อย เร็วหรือช้าเท่านั้น จะเรียนปริญญาเอกอีกใบก็คงจะเป็นไปได้ยากมากๆ ถึงผมจะไม่อยาก แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ

มีนาคม 2566  ผมเริ่มรับการฉายแสงทั่วศีรษะ โชคไม่ดีเท่าไร สมองผมบวมเยอะ ทำให้ผมมีความดันในกะโหลกเพิ่มขึ้น ผมปวดหัวมากๆ ปวดแบบลูกตาจะกระเด็นออกมา ผมอ้วกพุ่งออกมาทางจมูกด้วยความแรงเดียวกับที่พุ่งออกทางปาก  ผมได้นอนโรงพยาบาลสังเกตอาการ และรับยาสเตียรอยด์เพื่อกดการอักเสบของสมอง ยาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ก็ต้องแลกกับผลข้างเคียงของมัน

หลังจากนอนโรงพยาบาลไปครึ่งเดือน ผมได้กลับบ้านและเขียนโพสต์ว่า “ทำไมเราถึงยังตายไม่ได้”  เพราะช่วงที่นอนโรงพยาบาลนั้น
ผมคิดถึงการยอมแพ้ขึ้นมาจริงๆ

ต้องบอกตรงนี้เลยว่า ผมประทับใจโพสต์นี้ที่สุดตั้งแต่เปิดเพจมาเลยครับ เพราะโพสต์นี้มันมากกว่าการที่คนทักมาให้กำลังใจผม แต่คนในเพจกำลัง ให้กำลังใจ กันและกัน ขอบคุณทุกคนมากครับ น่ารักมากๆเลย

หลังจากนั้นสองวัน ผมก็มีอาการปวดหัวรุนแรงอีกครั้ง ผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองบอกว่า  ก้อนในสมองผมมีเลือดออกและเลือดนั้นทำให้แรงดันในสมองเพิ่มขึ้น ผมอาจต้องรับการผ่าตัดระบายเลือดออก

โชคดีที่สุดท้ายปริมาณเลือดนั้นไม่ได้มากพอที่จะต้องผ่าตัดเปิดสมอง อาการปวดหัวน่าจะเป็นผลข้างเคียงจากการฉายแสงมากกว่า แต่ก็ต้องรอทำเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดูกันอีกที ระหว่างนี้ก็กินยากดการอักเสบลดสมองบวมต่อไปก่อน ซึ่งพอกินยาตัวนี้ติดต่อกันนานๆ ทำให้ต้องกินยาป้องกันการติดเชื้อราในปอดควบคู่ไปด้วย ค่าผลเลือดต่างๆก็พังไปหมด ทั้งทีออกกำลังกายและคุมอาหารอย่างดีกินยาสม่ำเสมอในขนาดสูงสุด แต่ค่าไขมันเลวในเลือดก็สูงกว่าค่าปกติมากๆ เป็นค่าไขมันที่ถ้าผมจะเป็นเส้นเลือดตีบก็ไม่น่าแปลกใจเลยครับ นอกจากนี้ยังต้องกินยากันชักและยาชะลออาการสมองเสื่อมทุกวันเช้าเย็น มีอาการปวดกระดูกซี่โครงที่ไม่รู้ว่ามะเร็งลุกลามไปกระดูกหรือเปล่า

ก่อนหน้านี้ผมจองตั๋วไปญี่ปุ่นเอาไว้ แต่จากอาการต่างๆที่เล่าไป ทำให้ความหวังที่ผมจะได้ไปเที่ยวดูเป็นเรื่องตลกมากๆเลยครับ สองวันก่อนจะถึงวันบินไปญี่ปุ่น ผมยังแอดมิทอยู่ด้วยซ้ำ

แต่


ผมก็พยายามเตรียมตัว เตรียมยา เขียนประวัติตัวเองอย่างดีที่สุด เผื่อว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นที่นู่น หมอญี่ปุ่นจะต้องน้ำตาไหลให้กับประวัติที่ผมเตรียมไว้ให้แน่ๆ (แต่ดีสุดคือไม่ต้องไปเจอเขานะ)

เหลือเชื่อมากๆครับ ที่ผมได้ไปเดินกับพีมในสวนที่เต็มไปด้วยดอกซากุระ ได้พาพีมไปดูภูเขาไฟฟูจิ ไปสูดอากาศสะอาด ไปกินอาหารอร่อย ได้ไปสวนสนุก ได้ใส่ชุดกิโมโนคู่กัน  และผมได้กินเนื้อโกเบ

ใช่ครับ ผมยังคงกินยามหาศาล นอนได้วันละ 2-3 ชั่วโมง ยังคงท้องผูกและต้องคอยสังเกตุอาการตัวเองอย่างจริงจังตลอดเวลา

แต่ ผมก็ยังไปด้วยความหวัง  ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย

ทุกเช้าที่ผมตื่นขึ้นมา ทุกสิ่งที่ผมยังมองเห็น ทุกมื้อที่ผมได้กิน ทุกที่ที่ผมได้ไป ทุกกิจกรรมที่ผมได้ทำมันโคตรพิเศษ ทุกคนตรงหน้าคือคนสำคัญที่สุด  ทุกวันที่ผมได้รับมา ผมตั้งใจใช้มันเหมือนมันเป็นครั้งสุดท้าย (เพราะมันอาจเป็นครั้งสุดท้ายของผมจริงๆ)

ผมไม่รู้เลยว่า ผมจะตื่นมามองเห็นแบบนี้อยู่ไหม
ผมไม่รู้เลยว่า ผมจะมีโอกาสมาเที่ยวอีกไหม
ผมไม่รู้เลยว่า ผมจะเป็นคนครึ่งแรก หรือครึ่งหลัง

เมษายน 2566 เอาล่ะ  ตอนนี้คือ 6 เดือน หลังจากวันที่ผมได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย
“ถ้ามันไม่ตอบสนองต่อการรักษาล่ะ”
“ถ้าโรคมันกำเริบ หรือโรคมันไม่สงบล่ะ”

นี่เป็นความกังวลที่ผมไม่สามารถพยายามทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของมันได้เลย

ผมทำได้แค่ดูแลร่างกายและจิตใจให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ อดทนกับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต
แล้วหวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย

ทำได้แค่ หวัง จริงๆครับ

ที่ผ่านมาผมเจอความผิดหวังเยอะเหมือนกันครับ ใช้พลังใจเยอะมากๆในการกลับมาสู้ต่อ แต่ผมก็กอดความหวังนั้นไว้ เพราะมันดูเป็นสิ่งเดียวที่ผมมี

ผมก็ไม่รู้อะไรเกิดก่อนกันนะครับ
เพราะมีชีวิตจึงมีความหวัง
หรือเพราะมีความหวังจึงมีชีวิต

ผมบอกกับพีมในวันที่กำลังไปทำการตรวจติดตามที่ 6 เดือนว่า

“ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง เค้าจะยังไม่ตายทันทีที่รู้ผล
เย็นนี้เราจะยังไปกินข้าวอร่อยๆกันเหมือนเดิม”

ผมได้ทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ทรวงอกและช่องท้อง รวมถึงตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง

และผลการติดตามที่ 6 เดือนคือ

ก้อนที่ปอดขวายุบลงไปครึ่งหนึ่งจากของเดิม
ก้อนเล็กๆที่ปอดซ้ายหายไปเกือบหมด
ก้อนในสมองทุกก้อนยังอยู่ แต่ถือว่าสงบ
ไม่มีก้อนขึ้นใหม่ที่อวัยวะอื่น ไม่มีการกระจายไปที่กระดูก ตับ ไต ปอด หรือต่อมน้ำเหลือง
มีเพียงก้อนที่เยื่อหุ้มปอดที่โตขึ้นไปกดกระดูกซี่โครงทำให้มีอาการปวด ซึ่งสามารถทำการฉายแสงเฉพาะจุดที่ก้อนได้

ผม
ได้เป็น
“คนครึ่งหลัง”
แล้วครับ

กลุ่มคนที่สถิติจากวิจัยบอกไม่ได้แล้วว่าจะอยู่ไปอีกนานเท่าไร และตัวเลขที่น่าสนใจต่อไปคือ สัดส่วนผู้ที่รอดชีวิตที่ 5 ปี อยู่ที่ประมาณ 20%

ผมหวังให้เป็นผมนะ

ถ้าจะให้สรุปบทเรียนจากน้องมะเร็งในช่วงที่อยู่ด้วยกันมาคงได้ว่า

“ชีวิตไม่แน่นอน สุดท้ายเราทุกคนจะต้องตาย อยู่กับปัจจุบัน ใช้แต่ละวันให้เหมือนวันสุดท้าย ถ้ามีอะไรที่ทำเพื่อคนอื่นได้ ก็แบ่งปันความโชคดีให้เขาบ้าง และไม่ว่าชีวิตจะเลวร้ายแค่ไหน อย่าหมดหวังกับชีวิตเด็ดขาด”

วันหยุดสงกรานต์แบบนี้ หลายๆท่านอาจจะกำลังใช้ช่วงวันหยุดให้รางวัลตัวเองด้วยการเดินทางท่องเที่ยว หลายท่านคงมีโอกาสกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวหรือคนรัก ขอให้ทุกท่านใช้เวลาตรงหน้าให้เต็มที่ครับ ให้เหมือนกับเป็นวันสุดท้าย เพราะเราไม่รู้จริงๆครับ ว่าสงกรานต์ปีหน้าจะเป็นอย่างไร เราจะยังได้เจอกันไหม

ผมขอตัว ไปทานข้าวกับที่บ้านก่อนนะครับ

สวัสดีวันสงกรานต์ครับ

ผมว่า เราเดินทางด้วยกันมานานเหมือนกันครับ
คงจะดี ถ้ามี “สู้ดิวะ รวมเล่ม”
ไว้ติดตามกันนะครับ

 

 

ขอบคุณ  เพจ สู้ดิวะ