คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย

ประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐฯที่ผ่านมา แทบจะไม่เคยมีวิกฤติการเมืองครั้งใดเลยที่แสนจะล่อแหลมสุดๆ ยกเว้นแต่เมื่อครั้งสงครามกลางเมือง ที่จะมีพลเมืองเยี่ยง “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”สามารถเขย่าอำนาจของรัฐได้อย่างน่าแปลกใจ

แม้ว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะพ่ายแพ้การเลือกตั้งต่อ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ไปเมื่อสองปีก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม แถมเขายังพากเพียรพยายามพลิกผลการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องตลอดมา อาทิใช้กลยุทธ์ทางกฎหมายฟ้องร้องถึง 62 คดี รวมทั้งส่งเรื่องฟ้องร้องต่อศาลสูงสุด แต่กลับปรากฏว่า กินแห้วพ่ายแพ้ทุกครั้ง (จากหนังสือพิมพ์ USA Today ของวันที่ 30 พฤศจิกายน 2021)!

และล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2023 ที่เพิ่งผ่านมานี้ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ยังยื่นอุทธรณ์ต่อศาลรัฐบาลกลางเขตโคลัมเบียของสหรัฐฯให้เพิกถอนคำตัดสินของศาลล่างไม่ให้ “อดีตรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์” เข้าไปเป็นพยานต่อคณะลูกขุนใหญ่ในการสอบสวนคดีที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์พยายามจะพลิกผลการเลือกตั้ง ก่อนที่กลุ่มฝูงชนผู้ที่สนับสนุนเขาจะบุกเข้าไปในรัฐสภา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021

เท่ากับว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังจะหัวหมอพยายามกีดกันมิให้อดีตรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ เข้าไปมีส่วนช่วยขยายผล สืบเนื่องมาจากอดีตรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ รู้ข้อมูลเชิงลึกต่างๆที่เขาพยายามจะล้มล้างผลการเลือกตั้ง

ทั้งนี้การต่อสู้ฟ้องร้องทางศาลทั้งหมดที่ผ่านมา ปรากฏว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มิได้ใช้เงินส่วนตัวของเขาเลย เนื่องจากเขานำเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริจาคทั้งรายเล็กและรายใหญ่ แถมยังมีสื่อมวลชนยักษ์ใหญ่ทั้งสื่อหนังสือพิมพ์และสื่อโทรทัศน์เข้าไปช่วยเป็นกระบอกเสียง แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะกลไกของรัฐได้อย่างเบ็ดเสร็จ

และเมื่อไม่ประสบความสำเร็จ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์จึงได้หันไปใช้กลยุทธ์ใหม่ด้วยการยั่วยุให้ฐานเสียงบรรดามวลชนที่ปลาบปลื้มในตัวเขาบุกเข้าไปก่อการจลาจลในรัฐสภา เพื่อพลิกผลการเลือกตั้ง

ทั้งนี้จุดพลิกผันสำคัญในประเด็นนี้ ปรากฏว่า “วุฒิสมาชิกมิชท์ แมคคอนเนลล์” ซึ่งเป็นนักการเมืองวัย 82 ปีและเมื่อวันที่ 1 มีนาคม เขาได้ทำสถิติอยู่ในวุฒิสภานานที่สุด แถมยังเคยเป็นพันธมิตรใกล้ชิดและให้ความจงรักภักดีต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เสมอมา แต่กลับเกิดอาการเบื่อหน่ายอดรนทนไม่ไหวประกาศแยกทางเลิกสานต่อความสัมพันธ์กับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเขาได้ออกมากล่าวประณามอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ที่หวังจะคว่ำการเลือกตั้งแบบไร้ซึ่งคุณธรรม!!!

โดยวุฒิสมาชิกมิชท์ แมคคอนเนลล์ ได้ออกมาแถลงเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ว่า “เหตุการณ์ทำนองนี้ มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา และความพยายามของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ถือว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด และการพ่ายแพ้คดีทั่วประเทศก็ถือเป็นตัวตัดสินได้เป็นอย่างดีแล้ว” เมื่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ฟังเช่นนั้น ถึงกับที่นั่งลุกเป็นไฟร้อนลนก้นจนต้องออกมาโต้แย้งว่า “วุฒิสมาชิกแมคคอนเนลล์ เป็นพวกอ่อนแอ” (ข้อมูลจากนิตยสาร Forbes เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021)

ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้วุฒิสมาชิกแมคคอนเนลล์ เคยช่วยมิให้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ถูกปลดออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีถึงสองครั้งสองคราด้วยซ้ำไป

อย่างไรก็ตามเป้าหมายที่เขาต้องการจะพลิกผลการเลือกตั้งอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองของพรรครีพับลิกันทางทั้งตรงและทางอ้อม รวมทั้งยังได้รับการสนับสนุนจาก “แคลเรน โธมัส” ภรรยาของผู้พิพากษาศาลสูงสุด การมุ่งหวังของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่จะได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า ก็เพื่อจะใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือต่อสู้คดีอาญาใหญ่ๆทั้งจากกระทรวงยุติธรรม จากอัยการท้องถิ่นของทั้งรัฐนิวยอร์กและรัฐจอร์เจีย ที่ต้องการจะเอาชนะทั้งสองศึกใหญ่ๆ

สำหรับศึกคดีอาญาที่นครแมนฮัตตันนั้น ถึงแม้ว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะถูกข้อหาอาญา 34 กระทงก็ตาม แต่ปรากฏว่าคะแนนนิยมของเขากลับเพิ่มสูงขึ้นถึง 4% แถมเขายังได้รับเงินบริจาคมากกว่าสี่ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ต่อสู้คดีในช่วงสี่ชั่วโมงภายหลังจากที่เขาถูกฟ้องร้องใน 34 คดีอาญา

อีกทั้งหลังจากที่เอฟบีไอเข้าไปตรวจค้นเอกสารลับที่คฤหาสน์ของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ที่ฟลอริดา ก็ยังปรากฏให้เห็นว่า มีผู้บริจาคเงินให้เขาใช้ต่อสู้คดีวันละไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านดอลลาร์ และยังเป็นที่น่าสังเกตอีกด้วยว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเงินบริจาคไปแล้วกว่า 500 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่เขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อสองปีก่อน โดยฐานเสียงแฟนคลับของเขาบริจาคให้เขานำไปใช้ในการแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่สาม และนำเงินเอาไปใช้ต่อสู้คดีต่างๆ (ข้อมูลจาก Open Secrets เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2022)

ดังนั้นจึงมีคำถามเป็นโจทย์ใหญ่ๆสามประเด็นด้วยกันในหัวข้อที่ว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเสียงสนับสนุนมากมายได้อย่างไร? และเพราะเหตุใดและทำไมอดีตประธานาธิบดีทรัมป์จึงยังยืนหยัดต่อสู้กับอำนาจรัฐอยู่ได้?

ประการแรก อาจจะเป็นเพราะว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เป็นนักการตลาด มีสื่อฝ่ายขวาเป็นกระบอกเสียง อาทิ สื่อที่อยู่ในเครือข่ายของฟอกส์นิวส์ ซึ่งมีทั้งสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์

ประการที่สอง บรรดาองค์กรธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่อยู่ในความครอบงำของสมาชิกพรรครีพับลิกันที่ล้วนแล้วแต่เสียภาษีให้แก่ภาครัฐในจำนวนน้อยให้การสนับสนับด้วยการให้บริจาคทางด้านการเงิน เนื่องจากกฎหมายเรื่องภาษีมีช่องโหว่ ที่มีผลทำให้ธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั้งหลายมีวิธีการหลีกเลี่ยงภาษีได้!!!

แม้กระทั่งครั้งที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ในตำแหน่งวาระสุดท้ายนั้น จากการรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ส เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2022 ได้รายงานว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีเลย และสมควรที่จะได้รับเงินคืนจากภาครัฐเป็นเงิน 5.47 ล้านดอลลาร์ด้วยซ้ำไป

อนึ่งการที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ พยายามจะปกปิดหลักฐานการเสียภาษีของเขามาโดยตลอดนั้น สภาคองเกรสสหรัฐฯได้พยายามที่จะต่อสู้มาแล้วอย่างยาวนานกว่าหกปี โดยศาลสูงสุดสหรัฐฯตัดสินให้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ต้องเปิดเผยหลักฐานการเสียภาษีเมื่อปลายปีกลาย และปรากฏว่าเขาเสียภาษีรายได้น้อยมาก และเขายังมีบัญชีเงินฝากอยู่ในต่างประเทศอีกด้วย (ข้อมูลจากซีเอ็นเอ็น: Key takeaways from six years of Donald Trump’s federal tax returns จาก CNN เมื่อวันที่ December 30, 2022)

ประการที่สามอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มีฐานเสียงเป็นชาวชนบทที่เลิฟๆนิยมชมชอบค่ายพรรครีพับลิกันอย่างหนักแน่น ซึ่งรายได้ครัวเรือนส่วนใหญ่ของฐานเสียงเหล่านี้มีน้อยกว่า 50,000 ดอลลาร์ต่อปี

และผลการวิเคราะห์จากผลการหยั่งเสียงของ Harry Enter ซึ่งถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหยั่งเสียงของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2023 นี้ว่าอเมริกันชนคนผิวขาวผู้ที่มีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และที่มีสิทธิเลือกตั้งมีประมาณ 28% เท่านั้น

และจากการหยั่งเสียงของ CNN ร่วมกับ SSRS และมหาวิทยาลัย Quinnipiac ก็ได้ออกมาเผยแพร่เมื่อสัปดาห์นี้ว่า ขณะนี้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับความนิยมจากคนผิวสีมากขึ้น และยังมีผลการหยั่งเสียงเพิ่มเติมเมื่อสัปดาห์นี้ว่า เมื่อปีค.ศ.2016 คนผิวสีที่มี สิทธิมีเสียงเลือกตั้งมีอยู่แค่เพียง 13% แต่ขณะนี้มีเพิ่มขึ้นเป็น 18% และส่วนใหญ่ต่างหันไปนิยมชมชอบอดีตประธานาธิบดีทรัมป์!!!

นอกจากนั้นแล้วดูเหมือนว่าขณะนี้ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ยังได้รับความนิยมสูงมากกว่า “ผู้ว่าฯรอน เดอซานติส” ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งขันคนสำคัญของเขา ในค่ายพรรครีพับลิกันอีกด้วย

และยังเป็นที่น่าสนใจว่า อุดมการณ์ทางการเมืองของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ผ่านมาไม่ค่อยมั่นคงค่อนข้างหวั่นไหวแกว่งไปแกว่งมา เนื่องจาก ในช่วงสามสิบห้าปีที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ เปลี่ยนการสังกัดพรรคกการเมืองไปแล้วห้าครั้งด้วยกัน จากที่เคยสังกัดอยู่ในค่ายพรรคเดโมแครต ต่อมาตัดสินใจย้ายไปสังกัดพรรคอิสระ เก้าปีหลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนใจหันไปสังกัดอยู่กับค่ายพรรครีพับลิกัน

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นคงต้องทำใจยอมรับและนับถือว่า “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” เป็นนักการเมืองที่มีพรสวรรค์พิเศษสามารถพูดอะไรก็ได้ที่คนอยากจะฟังให้คนอเมริกันคล้อยตาม แม้บางครั้งจะเป็นเพียงคำโฆษณาชวนเชื่อของเขาอาทิ คำที่เขากล่าวข่มขู่จี้จุดอ่อนคนอเมริกันแบบย้ำๆซ้ำๆว่า “ ขณะนี้สหรัฐฯตกอยู่ในภยันอันตรายที่เต็มไปด้วยความไร้ระเบียบ มีความยากจนเพิ่มขึ้น มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น และมีความเสี่ยงมากยิ่งๆขึ้น” โดยเขาออกมาบอกว่า “ข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถจะแก้ไขได้” โดยเขางัดเอากลยุทธ์ทั้งการวิพากษ์วิจารณ์ศัตรูทางการเมือง รวมถึงการพากเพียรพยายามถ่วงเวลาที่จะต่อสู้คดีความในทุกๆเรื่อง ดูประหนึ่งว่าไม่มีใครสามารถจะกำจัดอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้กระเด็นออกไปจากแวดวงการเมืองได้ง่ายๆละครับ