สยามรัฐ ยึดมั่นอุดมการณ์ปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติศาสน์ กษัตริย์ ยืนหยัดรับใช้สังคมด้วยจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบ…*…
อากาศว่าร้อนแล้ว อุณหภูมิการเมืองกลับยิ่งระอุกว่า นักเลือกตั้งเปิดฉากซัดกันอุตลุด เล่นเอาบางเวทีดีเบตเดือดถึงขั้นชี้หน้ากันเลยทีเดียว …*…
ประเมินกันว่าศึกชิงอำนาจรัฐหนนี้ ไม่ต่างกับสงครามครั้งสุดท้ายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ฉะนั้น เป้าหมายของพรรคเพื่อไทยจึงไม่เพียงแค่ชนะเลือกตั้งเท่านั้น หากแต่ต้องกวาดเก้าอี้ส.ส.ให้ได้มากที่สุดแบบชนิด “แลนด์สไลด์” ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาล เพราะถ้าต้องตกเป็น “ฝ่ายค้าน” อีกสมัย คงได้แพแตกยากพื้นคืนชีพอีก…*…
เป็นเหตุให้ นายทักษิณยอมทุ่มเดิมพันถึงขนาดยอมเสี่ยงส่งกล่องดวงใจ “นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” เป็นแม่ทัพใหญ่ทำศึกเลือกตั้ง พร้อมทั้งงัดทุกกลยุทธ์ช่วงชิงเสียงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง …*…
และทุกกลยุทธ์ก็ต้องยอมรับว่าล้วนแต่สามารถเรียกเสียงฮือฮาได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท เงินเดือนจบปริญญาตรีเริ่มต้นที่ 25,000 บาทภายในปี 2570 หรือการประกาศของนายทักษิณผ่านสื่อต่างประเทศว่าพร้อมจะกลับมาติดคุกประเทศไทย เพื่อลบข้อครหาปิดจุดอ่อนพรรคเพื่อไทย และนางสาวแพทองธารที่ถูกมองว่าหากได้กุมอำนาจรัฐ ครองเสียงส่วนใหญ่ในสภา อาจมีการผลักดันออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับนายทักษิณเหมือนเช่นสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กระทั่งนำพาประเทศชาติไปสู่วิกฤติความขัดแย้ง จนทหารต้องออกมาทำรัฐประหารเพื่อป้องกันสงครามกลางเมือง เบรกไม่ให้คนไทยลุกขึ้นมาไล่เข่นฆ่ากันเอง...*...
กระนั้น เมื่อการประกาศกลับมาติดคุกของนายทักษิณ ดูเหมือนจะมีกระแสตอบรับไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่นายทักษิณคาดหวัง และอาจไม่เป็นผลดีต่อพรรคเพื่อไทยเอง ประเด็นนี้จึงถูกพับเก็บอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครในพรรคเพื่อไทยนำไปขยายผลใช้ในการหาเสียง...*...
ถัดมากลยุทธ์ล่าสุดของพรรคเพื่อไทย คือการประกาศนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ให้ประชาชนทุกคนที่มีอายุเกิน 16 ปีขึ้นไป เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งต้องใช้งบประมาณมหาศาลกว่า 5 แสนล้านบาท ทำให้มีคำถามติดตามมามากมายไม่ว่าในทางปฏิบัติจะทำได้จริงหรือ และพรรคเพื่อไทยจะนำงบประมาณจากที่ไหนมาใช้รองรับนโยบายนี้ ...*...
ขนาดพรรคแนวร่วมกับเพื่อไทยอย่าง “เสรีรวมไทย” โดย นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบบาย ยังออกมาโพสต์ข้อความเตือนผ่านเฟซบุ๊กว่า ประชานิยม ใคร ๆ ก็อยากได้ ใครจะไม่ชอบบ้างถ้ามีคนเอาเงินมาใส่กระเป๋ารายเดือนๆ ละ 3,000 บาท หรือ ให้เงินช็อปปิ้งปีใหม่ 10,000 บาท แต่ข้อเสนอทางตัวเงินที่ให้กับประชาชนถ้าเป็นเงินส่วนตัว นั่นคือการซื้อเสียงอย่างชัดเจน ถ้าก่อนหน้าเลือกตั้งคือ การซื้อเสียง หากหลังเลือกตั้ง คือ สัญญาว่าจะให้แต่เมื่อ เลขาธิการ กกต. มาเปิดทาง ว่า ข้อเสนอที่ใช้เงินของรัฐ ถือเป็นนโยบาย ไม่ใช่ สัญญา ว่าจะให้ เราจึงยังมีโอกาสได้เห็น “นโยบาย” เอาเงินหลวง มาสัญญาว่าจะให้ โดยไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง ตามที่ เลขา กกต. กรุยทางไว้อีกมากมาย ...*...
“ประชานิยม ต้องมีขอบเขต ต้องดูความสามารถในการจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ว่ามีเงินเท่าไร และถูกใช้ไปเท่าไร จะตัดรายการใด มาเพิ่มเป็นรายการใหม่ได้ ต้องมีวินัยการเงินการคลัง และไม่ขัดกับ กม.วินัยการเงินการคลังของรัฐ เช่น งบประมาณประจำปี ต้องมีงบลงทุน ต้อง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของงบประมาณรวม และต้องไม่น้อยกว่าวงเงินที่ขาดดุลงบประมาณของปีนั้น ๆ ต้องไม่กู้ จนเกินเพดานหนี้สาธารณะ ที่ปัจจุบันกำหนดไว้ ไม่เกินร้อยละ 70 ของ GDP ของประเทศ และต้องคิดต่อว่า ภาระการใช้หนี้คืนในอนาคต จะกระทบต่อการตั้งงบประมาณเพื่อการพัฒนาประเทศในอนาคตอย่างไร” นายสมชัยระบุ ...*...
กว่าจะถึงเลือกตั้งยังอีกหลายวัน คงได้เห็นพรรคการเมืองต่างๆ คิดค้นนโยบายโคตรมหาประชานิยมออกมาเกทับบลัฟแหลกกัน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย หลังผลสำรวจกรุงเทพโพลล์พบว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังปักหลักเหนียวแน่นอยู่ในใจคนกรุง เป็นบุคคลที่ได้รับการโหวตว่าอยากชวนมาเล่นน้ำสงกรานต์มากสุด เป็นอันดับ 1 ในสัดส่วนร้อยละ 11.1 เหนือกว่านายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ตามมาอันดับ 2 ร้อยละ 10.4 ถัดมาอันดับ3 ร้อยละ 7.0 คือ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อันดับ 4 ร้อยละ 5.6 คือ ลิซ่า blackpink และอันดับที่ 5 ร้อยละ 4.5 คือ น.ส.แพทองธาร
ที่มา:เจ้าพระยา (13/04/66)