นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า จากพื้นฐานธุรกิจที่มั่นคง ด้วยพอร์ตโฟลิโอที่มีการกระจายการลงทุนที่หลากหลาย มีสภาพคล่องทางการเงิน และมีกระแสเงินสดสำหรับการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ทำให้เอ็กโก กรุ๊ป มีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง โดยที่ประชุม AGM ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 3.25 บาท คิดเป็นเงิน 1,711 ล้านบาท รวมจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 2565 อยู่ที่หุ้นละ 6.50 บาท คิดเป็นเงินปันผลที่จ่ายทั้งสิ้น 3,422 ล้านบาท ซึ่งมีกำหนดจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 เมษายน 2566
“สำหรับแผนการลงทุนในอนาคต เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2593 ด้วยการแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดและโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยไม่ลงทุนในโรงไฟฟ้าหรือธุรกิจถ่านหินเพิ่มเติม ในขณะเดียวกันจะบริหารโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและปลดปล่อยคาร์บอนให้น้อยที่สุด ด้วยการศึกษาเพื่อนำไฮโดรเจนและแอมโมเนียมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผสม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังมุ่งสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจด้วยการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานครบวงจรอย่างยั่งยืน โดยในปี 2566 เอ็กโก กรุ๊ป ได้ตั้งงบลงทุนประมาณ 30,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามแผนการลงทุนข้างต้น” นายเทพรัตน์ กล่าว
สำหรับโครงการ “หยุนหลิน” ในไต้หวัน ซึ่งเป็นการก่อสร้างกังหันลมนอกชายฝั่งขนาดใหญ่ที่ล่าช้าและมีต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้นนั้น เอ็กโก กรุ๊ป ในฐานะหนึ่งในผู้ถือหุ้น ได้ร่วมศึกษาผลกระทบ การจัดทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงและความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อพิจารณาแนวทางที่เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนได้เร่งรัดติดตามความก้าวหน้าของโครงการอย่างใกล้ชิด และร่วมปรับแผนการก่อสร้าง เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายในปี 2567