“จตุพร” ขยี้ “เศรษฐา” ประเคนเงินหมื่นบาทให้คนรวยทำไม บี้รู้ตัวหรือไม่ เข้าข่าย “ปัญญาอ่อน” ตามทฤษฎีทักษิณ ด่าคนแจกเงิน ถามกระตุ้น ศก.ตรงไหน คนรวยมีเงินใช้จ่ายอยู่แล้ว ส่วนคนจนเดือดร้อนจึงต้องแจกช่วยเยียวยาความจำเป็นปากท้อง แนะลดเป้าแจกจาก 54 ล้านคนเหลือ 22 ล้านเฉพาะคนจน ชี้ใช้งบ 2.2 แสนล้าน ประหยัด 3.2 แสนล้านไม่เป็นภาระงบแผ่นดิน หวั่นใช้งบแผ่นดินสร้างภาพใหญ่หาเสียงเรียกคะแนน
เมื่อ 10 เม.ย. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "รวยจน...คนเท่ากัน?" โดยกังขาว่า ทำไมนายเศรษฐา ทวีสินและพรรคเพื่อไทย ต้องแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้คนรวย 32 ล้านคนในจำนวนเป้าหมายการแจก 54 ล้านคน ซึ่งสูญงบประมาณแผ่นดินที่ต้องกู้เงินมาอุดงบประมาณขาดดุลทุกปี
นายจตุพร กล่าวว่า ในความเป็นจริง คนไม่เคยไม่เคยเท่ากันอยู่แล้ว และยิ่งเรียกร้องหาความเท่าเทียมกัน ยิ่งดูเหมือนห่างไกลไม่เท่ากันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะโครงการแจกเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย ซึ่งนายเศรษฐา ประกาศจะแจกเงิน 10,000 บาทให้ประชาชนอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป 54 ล้านคน ยิ่งสะท้อนถึงคนรวย คนจน ไม่เท่ากันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ความไม่เท่ากันนั้น นายจตุพร อธิบายว่า นายเศรษฐากำหนดเป้าหมายแจกเงินในจำนวน 54 ล้านคนเพื่อให้คนจนไปกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือรวมกลุ่มนำเงินไปลงทุนประกอบการผลิตในชุมชน ใช้จ่ายซื้อสินค้าในรัศมี 4 กิโลเมตร แต่ความจริงคนจนในประเทศตามตัวเลขขึ้นทะเบียนไว้มีจำนวน 22 ล้านคน ดังนั้น ส่วนที่เหลืออีก 32 ล้านคนจึงไม่ใช่คนจนและอาจเป็นคนมีฐานะ คนรวย เจ้าสัว และคนอย่างนายเศรษฐาก็มีอยู่เยอะในจำนวนนี้ ซึ่งทั้งหมดมีอันจะกิจไม่เดือดร้อนหนักหนาสาหัสด้านเศรษฐกิจ แต่คนพวกนี้ได้รับแจกเงิน 10,000 บาทด้วย
“การแจกเงินนั้น ทักษิณ ชินวัตร เจ้าทฤษฎีแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นหลักคิดของคนปัญญาอ่อน และทักษิณยังเป็นจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคมุ่งเสนอโครงการแจกเงินดิจิทัลรวมทั้งสิ้น 5.4 แสนล้าน แจกทุกคน 54 ล้านคน ทั้งคนจน คนรวยที่มีความเดือดร้อนและจำเป็นไม่เท่ากัน แต่ได้รับเงินเท่ากันหมด จึงน่าตกใจกับแนวคิดไปเพิ่มภาระกับงบประมาณแผ่นดินขาดดุลมาต่อเนื่อง 8-9 ปี และต้องกู้เงินมาโปะให้งบสมดุลกันทุกปี”
นายจตุพร เสนอว่า ถ้าแจกเฉพาะคนจนที่ขึ้นทะเบียน 22 ล้านคน ซึ่งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมีความภาคภูมิใจกับตัวเลขบัดซบที่มียอดยอดคนจนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นนี้ จึงแสดงถึงความอเนจอนาถมาก แต่หากนายเศรษฐา มุ่งทำเป้าหมายแจกเงินคนจนแล้ว ก็ควรยึดตัวเลขคนจน 22 ล้านคนเป็นหลักในการแจกเงินตามโครงการดิจิทัล
อีกทั้ง เห็นว่า ถ้าต้องการแจกเงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อต่อลมหายใจให้คนจนแล้ว ก็ไม่น่าเกิน 22 ล้านคน คิดเฉลี่ยเป็นหนึ่งในสามของจำนวนประชากรทั้งประเทศ (ประมาณ 66 ล้านคน) ดังนั้น จึงเหลือคนอีก 32 ล้านคน ซึ่งคนเหล่านี้จึงเชื่อได้ว่า ไม่น่าจะเป็นคนยากจนจริง
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าไปแจกให้เฉพาะคนจนแล้ว คงไม่มีใครไปขัดขวางการช่วยเหลือคนจน แต่นายเศรษฐา กลับนำเงินมาแจกให้กับคนรวยด้วย ซึ่งมีมากกว่าคนจนในจำนวน 54 ล้านคนเสียอีก ดังนั้น จะแจกเงิน 10,000 บาทให้คนจน 22 ล้านคนได้เท่ากับคนรวย 32 ล้านคนในยอดรวมต้องแจก 54 ล้านคนได้อย่างไรกัน
“เมื่อเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้น การจัดงบประมาณขาดดุลมาต่อเนื่องตลอด 8-9 ปี ยังต้องกู้เงินมาอุดรายได้กันทุกปีแล้ว เรามีเหตุผลอะไรจึงต้องนำเงินงบประมาณไปแจกคนอีก 32 ล้านคนที่เชื่อว่า ไม่เป็นคนยากจนจริงเลย ถ้าเราแจตกแต่คนจนจริงแล้ว เราจะประหยัดงบประมาณแผ่นดินได้ถึง 3.2 แสนล้านบาท”
นอกจากนี้ อธิบายว่า โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ในระยะเวลาโครงการ 6 เดือนเท่านั้น ถ้า เราคิดเฉลี่ยตลอดวาระรัฐบาล 4 ปี (หรือ 1,460 วัน) ดังนั้น เงิน 10,000 บาทแจกให้ประชาชนจะได้รับเพียงวันละ 6.83 บาท นับว่าน้อยมาก สามารถซื้อบะหมี่สำเร็จรูปได้ซองเดียวเท่านั้น
"ผมบอกว่า โครงการนี้ไม่ได้ยกเว้นตัวคุณเศรษฐา แล้วคุณจะรับเงินไปได้อย่างไรกัน เพราะประเทศไม่ได้มั่งมีศรีสุข หรือมีรัฐสวัสดิการให้ทุกคนก็ว่ากันไป แต่ว่าคนเรายากจนไม่เท่ากัน ปัจจุบันคนจนมีมากถึง 22 ล้านคน ถ้ามีความประสงค์จะใช้เงิน 5.4 แสนล้านต้องนำมาให้คนจน 22 ล้านคน ซึ่งอาจจะได้คนละ 2.5 หมื่นบาท แต่คนอีก 32 ล้านคน ไม่ได้่อยู่ในฐานะของคนจน มีปัญญาไปจับจ่ายใช้สอยอยู่แล้ว จะไปแจกเงินให้คนรวยทำไมกัน"
นายจตุพร กล่าวว่า การใช้จ่ายเงินดิจิทัลในรัศมี 4 กิโลเมตรนั้น ร้านสะดวกซื้อจะได้รับอานิสงส์มากกว่ากลุ่มใด ส่วนร้านโซห่วยอาจไม่ได้รับประโยชน์ด้วย แต่ชาวบ้าน ทำการเกษตร ปลูกผักไปขายจะไม่ได้รับอานิสงส์นี้ด้วยเลย ดังนั้นปลายทางความมั่งมีจากโครงการนี้ก็คือ เจ้าสัวผู้ผลิตสินค้าที่ส่งไปยังร้านสะดวกซื้อ หรือร้านต่างๆ ด้วย แล้วจะกระตุ้นเศรษฐกิจของใครให้มั่งมีศรีสุขกันแน่
อีกทั้งเห็นว่า สิ่งนี้เป็นตลาดทางการเมืองต้องการผลประโยชน์จากคะแนนเสียงและผลประโยชน์ทับซ้อนอื่นๆ ส่วนที่มาของเงินดิจิทัลนั้น มีเหตุผลอะไรต้องใช้เงินดิจิทัล ทั้งที่จะบอกจะเอาเงินปีงบประมาณ 2567 มาสนับสนุน
อย่างไรก็ตาม เงินดิจิทัลเป็นเพียงเงินสมมุติมีกว่า 300 สกุลเงินทั่วโลก ซึ่งอาจจะเพิ่มสกุลใหม่ขึ้นมา และความมั่งคั่งนี้ต้องตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่า การเริ่มต้นด้วยเงินบาท 5.4 แสนล้านจะถูกปั่นให้เพิ่มมูลค่าได้มากอีกกี่เท่าตัว ซึ่งจะเป็นประโยชน์มหาศาล สิ่งนี้จึงน่าสงสัยอย่างยิ่งในเจตนาการใช้เงินดิจิทัล
"เรื่องนี้เป็ข้อสงสัยและความน่ากังวล ไม่ใช่เป็นเรื่องยิ่งตียิ่งดังตามที่นายเศรษฐาอธิบาย และไม่มีใครไปขัดขวางการแจกเงินที่คุณคิดว่าเลอเลิศ ประเสริฐศรี แต่ที่เขาทักทวงกันนั้น เขาเป็นเจ้าของระเทศเหมือนกับคุณ และคุณก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรนอกเหนือจากประเทศได้ดำรงข้อเท็จจริงกันอยู่ในระบบการเงิน การคลังที่ยึดถือมั่นมานาน”
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าต้องการตัดงบประมาณแผ่นดินเพื่อโครงการ 5.4 แสนล้านบาทแล้ว ปีงบประมาณ 2567 ควรตั้งงบประมาณประเทศเพียง 3 ล้านล้านบาท แล้วตัดงบโครงการนี้ 5.4 แสนล้านออกไปเลย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกู้เงินมาเพิ่มอีก 5 แสนล้าน
ขณะที่ ถ้าต้องการจะแจกเฉพาะคนจนแล้ว คิดจำนวน 22 ล้านคนใช้งบประมาณ 2.2 แสนล้านบาท ยิ่งลดงบประมาณลงได้อีก และไม่ต้องกู้เพิ่มด้วย อีกทั้งประหยัดงบประมาณได้อีก 3.2 แสนล้านบาทที่เป็นงบแจกให้ของคนรวย ซึ่งไม่ต้องแจก เพราะเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของคนยากจนตามที่ประกาศออกมาในช่วงการหาเสียง
นายจตุพร กล่าวว่า ปัญหาของเงินดิจิทัลอยู่ที่การอธิบายและการใช้สกุลเงิน หลักคิดบัตรบำนาญ หรือบัตรคนจน ก็ไม่มีใครไปวิพากษ์วิจารณ์ในการแจกเงินเลย ทั้งที่ใช้งบประมาณมากกว่าโครงการดิจิทัลเสียเอง และยังแจกเงินให้คนรวยเจ้าสัว เป็นโครงการแจกเงินที่ยิ่งกว่าปัญญาอ่อนตามที่ทักษิณวิจารณ์คนแจกเงินไว้เอง
"คุณเศรษฐา คุณเกินปัญญาอ่อนไปแล้ว ถึงขั้นบ้า คุณอธิบายมา 54 ล้านคน แม้แต่เจ้าสัวคุุณยังแจกเงินให้ 10,000 บาท คุณคิดไปได้อย่างไรกัน เพราะคุณต้องการตลาดการเมือง เพียงขายภาพใหญ่ภาพเดียว แต่ความเสียหาย 5.4 แสนล้านบาทเป็นเงินแผ่นดิน ที่จะทำให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียง อีกทั้งเงินดิจิทัลที่เข้าข่ายสงสัยคือผลประโยชน์ทับซ้อนมาก และเข้าข่ายรวยแล้วเลิกเลย"
พร้อมย้ำว่า โครงการเงินดิจิทัลนั้น ไม่ใช่โครงการที่เกิดจากความคิดฉลาดล้ำเลิศอะไรเลย แต่เป็นการคิดไปได้อย่างไรกับการแจกเงินให้เจ้าสัว คนรวย ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อเราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศที่ทรุดมาต่อเนื่องอย่างมากในช่วง 8-9 ปี แต่เมื่อนายเศรษฐา เข้ามาเพื่อไทย พร้อมแจกเงินดิจิทัลให้เจ้าสัว 10,000 บาท จึงกลายเป็นเงื่อนไข ไม่แตกต่างจากการสวมสิทธิ์โครงการจำนำข้าวทุกเม็ด จนถูกอ้างเป็นเหตุยึดอำนาจ
รวมทั้ง กล่วว่า วันนี้เช่นเดียวกัน นโยบายเพื่อให้ได้คะแนนเสียงถูกหว่านครบหมด ซึ่งตนไม่ไว้วางใจในการแจกเงินดิจิทัล และต้องคัดค้านว่า เงิน 10,000 บาทแจกคนรวยไม่ได้ ไปแจกทำไม และนายเศรษฐา ก็ไม่เคยปฏิเสธว่า จะไม่รับเงินหมื่นบาทด้วย แล้วยังลอยหน้าลอยตาอธิบายได้อย่างไรกัน
นายจตุพร ย้ำว่า สิ่งสำคัญนโยบายการเมืองประชาชนย่อมมีสิทธิ์ทักท้วงได้ และยิ่งสงสัยมากคือ นำเงินไปแจกให้คนรวยได้อย่างไรกัน เพราะคนจนมีเพียง 22 ล้านคน แต่อีก 32 ล้านคน เป็นคนฐานะทางเศรษฐกิจจึงไม่ลงทะเบียนบัตรคนจน แล้วไปแจกได้อย่างไรคน 54 ล้านคน
"สิ่งสำคัญคือ งบประมาณปี 2567 เป็นงบประมาณขาดดุล ดังนั้นจึงต้องกู้เงินมาเติมให้มันสมดุลทั้งรายได้และรายจ่าย แล้วเอาเงินกู้มาแจกให้คนรวยทำไม เพราะการแจกใน 54 ล้านคนมีคนรวย 32 ล้านคนอยู่นอกเหนือการลงทะเบียนบัตรคนจน แล้วแจกเงิน 10,000 บาทให้คนรวย 32 ล้านคนมันกระตุ้นเศรษฐกิจตรงไหนกัน”
นายจตุพร ย้ำว่า เมื่อประเทศเศรษฐกิจยังไม่ฟื้น เงินมีจำกัดและต้องกู้มาเติมในงบประมาณแทบทุกปีตลอด 8-9 ปีมานี้ เราต้องช่วยคนจนก่อน ดังนั้น ถ้าไม่ต้องการกู้เงินเพิ่มขึ้นต้องตัดคนรวย 32 ล้านคนออกไป เราไม่ต้องจ่ายแจกให้ 3.2 แสนล้านบาทด้วย เป็นการประหยัดงบประมาณ ปี 2567 ของแผ่นดินด้วย
"เราเชื่อว่า โครงการแจกเงิน 54 ล้านคนจึงย้อนแย้งกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และคนที่วิพากษ์ตรงไปตรงมาถูกต้องที่สุดคือ ทักษิณ ที่ด่าคนแจกเงินว่า ปัญญาอ่อนนั่นเอง ซึ่งชัดที่สุดเพราะคนมีปัญญาเขาไม่แจกเงินกัน ไม่ทำกัน เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ใช่เป็นการแจกเงิน ต้องแจกเบ็ด ไม่ต้องแจกปลา ถ้าแจกปลาก็หมดอย่างเดียว แล้วแจกเงินไปซื้ออย่างเดียวเป็นการลงทุนให้เกิดผลผลิตอย่างไร"
นายจตุพร กล่าวว่า การใช้เงินดิจิทัลมาแจกนั้น จะพาให้พังและติดคุกกันอีกต่างหากด้วย เพราะไม่มีเหตุผลใดที่ต้องใช้เงินดิจิทัล ควรใช้เงินบาทผ่านระบบเหมือนเดิมจะเป็นอะไรไปเดือดร้อนอะไรกัน แล้วจะใช้เงินบาทในรัศมี 4 กิโลเมตรจะควบคุมพื้นที่ ควบคุมสินค้าไม่ได้หรือ? และไม่มีปัญญาอีกหรือ? ซึ่งเงินบาทก็สามารถทำการควบคุมได้เหมือนกัน และไม่จำเป็นต้องใช้เงินดิจิทัลเลย
“เมื่อพรรคเพื่อไทยยิ่งอธิบายก็ยิ่งแสดงความปัญญาอ่อนออกมา ทักษิณ บอกว่าคนแจกเงินเป็นคนปัญญาอ่อน มันต่างกันตรงไหน แต่ที่สำคัญคือ ไปแจกเงินให้คนรวยไง ซึ่งแตกต่างจากโครงการของพรรคการเมืองอื่นที่มุ่งสนองเพื่อคนจนเท่านั้น แล้วเพื่อไทยทำไมต้องไปกู้หนี้ของประเทศแล้วนำมาแจกให้คนรวย 32 ล้านคนเป็นเงิน 3.2 แสนล้านบาทด้วย"
ประเทศไทยต้องมาก่อน