จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด รับแจ้งว่า มีชาวบ้านได้กลิ่นเน่าเหม็นโชยออกมาจากบ่อน้ำร้าง ริมถนนเข้าบ้านดอนแคน หมู่ที่ 2 ต.ทุ่งกุลา อ.สุวรรณภูมิ และเมื่อเข้าไปชะโงกดูก็พบว่าที่ก้นบ่อ มีลักษณะคล้ายพระสงฆ์สวมจีวร จึงแจ้งตำรวจ สงสัยว่าเป็นคนถูกฆ่ามาทิ้งอยู่ก้นบ่อ เมื่อวันที่ 9 เม.ย.66 ที่ผ่านมา
เมื่อได้รับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ พบชาวบ้านจำนวนมากพากันรออยู่ และก็มีกลิ่นเหม็นโชยออกมาอยู่ตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมกับหน่วยกู้ภัยสุวรรณภูมิ จึงนำไฟฉายเข้าไปส่องดูใกล้ๆ ปากบ่อ พบว่าที่ก้นบ่อลึกประมาณ 7 เมตร ซึ่งไม่มีน้ำขังอยู่ มีภาพหล่อซึ่งเป็นภาพหล่อด้วยปูนพลาสเตอร์ "หลวงปู่สรวง" อดีตเกจิอาจารย์ชื่อดัง ที่ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีษะเกษ ที่ถูกขโมยไปจากวัดพลับพลาชลาธาร บ้านขวาว หมู่ที่ 9 ต.ทุ่งกุลา เมื่อคืนวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา แต่ส่วนศีรษะหายไป ส่วนกลิ่นเน่าเหม็นที่โชยออกมานั้น เป็นกลิ่นจากปลาและซากสัตว์น้ำที่ตาย เพราะน้ำในบ่อแห้ง
โดยก่อนหน้านี้รูปหล่อหลวงปู่สรวง อดีตเกจิอาจารย์ชื่อดังของภาคอีสาน ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพกราบไหว้และขอพรมาโดยตลอด ตั้งประดิษฐานอยู่ภายในวัดพลับพลาชลธาร บ้านขวาว เป็นรูปหล่อด้วยปูนพลาสเตอร์เท่าตัวจริง ของหลวงปู่สรวงองค์นี้ มีนายทหารยศนายพลนำมาถวายให้กับทางวัด เมื่อปี 2560
จากนั้นก็ตั้งประดิษฐานเอาไว้ภายในวัดทางด้านทิศเหนือ จากนั้นชาวบ้านก็มาสักการะขอพรมิได้ขาด เพราะมักจะได้โชคลาภและความร่มเย็นเป็นสุขดังที่ขอพรเอาไว้ และชาวบ้านที่มาจุดธูปก็มักจะมาขอหวยด้วย โดยมีชาวบ้านถูกหวยบ่อยๆ จนกระทั่งมีคนมาแอบขโมยไป และเพิ่งพบว่าถูกนำมาทิ้งในบ่อน้ำร้างดังกล่าว หลังถูกขโมยไปเกือบ 20 วัน
"หลวงปู่สรวง" ท่านถือเป็นเกจิอาจารย์ที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาต่อชนชาวอีสานตอนล่าง อย่างสูงตั้งแต่เมื่อครั้งยังมีชีวิต และถึงแม้ว่าท่านจะมรณภาพไปเกือบ 2 ทศวรรษ ก็ยังมิเสื่อมคลาย ด้วยความที่หลวงปู่สรวงท่าน สงบเงียบ พูดน้อย รักความสันโดษ จึงไม่ค่อยมีใครรู้ถึงความเป็นมาของหลวงปู่สรวง แต่ชาวบ้านจะรู้จักท่านในรูปของนักบวชเชื้อสายกัมพูชา ออกธุดงค์ตามเทืองเขาพนมดงรัก ข้ามไปมาระหว่าง 2 ประเทศ ชาวบ้านเรียกขานท่านตามภาษากัมพูชา ว่า "ลูกเอ๊าะเบ๊าะ" หรือ "ลูกตาเบ๊าะ" หมายถึงพระดาบสผู้รักษาศีล และมีเมตตาธรรมสูง แต่คนไทยเรียกท่านว่า "หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน" หรือ "เทวดาเล่นดิน"
"หลวงปู่สรวง" เป็นพระที่มักน้อย สันโดษ สมถะ มีอุเบกขาสูงสุด ตลอดระยะเวลา หลวงปู่สรวงจะจําวัด ณ สํานักสงฆ์แห่งหมู่บ้านไพรบึงน้อย (วัดไพรพัฒนาในปัจจุบัน) และอยู่ตามกระท่อมนาเล็กๆ มีกระดานไม้ปูแค่พอนอนได้ ทุกแห่งที่หลวงปู่จําวัดจะมีเสาไม้สูงปักอยู่ มีเชือกขาวซึ่งระหว่างกระท่อม เสาไม้หรือต้นไม้ข้างเคียงมีว่าวขนาดใหญ่ ที่บุด้วยจีวรหรือกระดาษแขวนไว้เป็นสัญลักษณ์ ที่ขาดไม่ได้คือจะต้องให้ลูกศิษย์ก่อกองไฟไว้เสมอ บางครั้งลูกศิษย์ เอาของถวายท่านก็จะโยนเข้ากองไฟ ฉะนั้น ถ้าเห็นว่ากระท่อมใดมีสิ่งของดังกล่าว ก็หมายถึงว่าเป็นที่ที่หลวงปู่เคย จําวัดหรือเคยอยู่มาก่อน
ชาวบ้านแห่งดินแดนอีสานใต้ ยกย่องท่านว่า เป็นผู้วิเศษแห่งภูตะแบง บ้างก็เรียกขานท่านว่า เทวดาเล่นดิน หลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดิน นามของท่านแฝงปริศนาธรรม เพราะดินหรือปฐวีธาตุก็คือ หนึ่งในกองกสิณ ขณะเดียวกันเมื่อใครถวายอะไรมาให้ท่านไม่ว่าจะเป็นข้าวของเงินทอง ฯลฯ ก็จะโยนเข้ากองไฟจนหมดสิ้น ซึ่งไฟ หรืออัคคีธาตุ ก็เป็นอีกหนึ่งกองกสิณที่พระอริยสงฆ์สายเหนือโลกใช้ฝึกจิต ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น เรื่องราวของหลวงปู่สรวง เต็มไปด้วยเรื่องราวหลากฤทธิ์พิสดาร มีอภินิหารต่างเล่าขานกันมาจากปากต่อปาก สื่อสิ่งพิมพ์ตีแผ่เรื่องราวของ หลวงปู่สรวงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และเป็นที่กล่าวขานมาจนทุกวันนี้
จากเรื่องเล่าประวัติหลวงปู่สรวงข้างต้นต้น จึงเห็นได้ว่า หลวงปู่สรวงมีปฏิทาอันน่าเลื่อมใส เป็นที่เคารพศรัทธาของบุคคลทั้งหลาย ซึ่งชาวพุทธส่วนมากก็จะมีความนิยมศึกษาประวัติเกจิอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาอย่างเช่นกรณีหลวงปู่สรวงนี้ และนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวเพื่อการกราบไหว้ขอพร เพราะเชื่อว่าท่านสามารถดลบันดาลความปรารถนาของตนให้สำเร็จได้