วันที่ 9 เม.ย.66 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ระบุว่า...

ฝิ่นทำลายจีน กัญชาทำลายไทย

ในอดีตเมื่อครั้งสงครามฝิ่น ประเทศจีนถูกเจ้าอาณานิคมนำเอาฝิ่นเข้าไปมอมเมาคนจีน

ทำลายเด็ก เยาวชนที่เป็นอนาคตชาติ และยังทำลายเศรษฐกิจจีน ระยะเวลาไม่นานคนจีนติดฝิ่นกันทั้งบ้านทั้งเมือง

จนเกิดขบวนการคนรักชาติ รวมตัวกันต่อต้านทำให้เกิดสงครามฝิ่น คนจีนต้องตายเป็นพัน เป็นความทรงจำที่จีนไม่ยอมให้เลือนหายไปจากประวัติศาสตร์ชาติ

มาถึงยุคสมัยปัจจุบัน กัญชาถูกนำเข้าสู่สังคมไทยโดยคนไทยด้วยกันเอง

ไม่ได้ผ่านกฎหมายลูกจากสภา พรรคทุกพรรคไม่เอาด้วยจนกฎหมายแท้งกลางสภา

แต่กัญชายังถูกปลดล็อกออกจากบัญชียาเสพติดของไทยในระยะเวลาอันสั้น

ทั้งๆ ที่มีประเทศอื่นๆ ทั่วโลกกว่า 170 ประเทศ และสหประชาชาติ ยังให้กัญชาเป็นยาเสพติดอยู่

พรรคการเมืองได้รับผลประโยชน์จากนโยบายกัญชาอย่างมหาศาล เอื้อประโยชน์ให้กับ “นายทุน” ไม่ใช่ “ชาวบ้าน”

ไม่ได้เป็น “พืชเศรษฐกิจ” อย่างที่พ่นน้ำลายกล่อมใส่

มีการจัดตั้งบริษัทรองรับทำไร่กัญชา ผลิตภัณฑ์กัญชา และที่เกี่ยวข้องอีกมาก

ขบวนการ “กัญชา” ยังได้ความร่วมมือจากสื่อสีเทา ใช้สายสัมพันธ์เชื่อมประโยชน์ จนทำให้กัญชากลายเป็น “ยาวิเศษ” ที่รักษาได้ทุกโรค โดยไม่มีผลยืนยันทางวิทยาศาสตร์

ไทยเป็นประเทศที่เปิดเสรีกัญชามากที่สุดในโลก

การต่อต้านกัญชาเสรีจึงต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อให้รู้ถึงผลร้ายของการนำกัญชาเข้ามาในสังคมไทยอย่างไม่ระวัง จากคนในชาติด้วยกันเอง

แม้แต่สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย แพทยสภา หรือบรรดาแพทย์สมัยใหม่ยังปฏิเสธ เพราะไม่มีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับ และเป็นห่วงเป็นใยถึงผลเสียของกัญชาที่เข้าถึงเยาวชนได้โดยง่าย

แต่พรรคการเมืองที่ควรมีความรับผิดชอบต่อสังคมแท้ๆ กลับเร่งรีบนำกัญชาเข้ามายัดเยียดให้กับสังคม เพียงเพราะต้องการคะแนนเสียงไปอวดอ้างผลงาน จนทำให้สังคมปั่นป่วน

กัญชาแทรกซึมเข้าไปทั่วทุกหัวระแหง ทั้งในชุมชน โรงเรียน ครอบครัว เยาวชน มาในรูปแบบของการมวนสูบ อาหาร เครื่องดื่ม หรือแม้กระทั่งขนม

แต่ผลร้ายของกัญชากลับไม่ได้แทรกซึมเข้าไปในจิตใต้สำนึกของพรรคการเมือง และนักการเมือง

ผมรู้จักกัญชาตั้งแต่อายุ 16-17 ปี เคยเสพเคยลองมาหมด ไม่ว่าแบบมวน ผสมบุหรี่ หรือใส่บ้องดูด

เข้าใจรู้ซึ้งถึงผลเสียของกัญชาดี ว่าเมื่อพี้แล้วจะเคลิบเคลิ้ม ล่องลอย สมองไม่ทำงาน พูดมาก คิดมาก หวาดระแวง ตื่นตระหนกเกินเหตุ

เมื่อติดกัญชาแล้ว หากวันไหนไม่ได้พี้กัญชาจะหงุดหงิด อารมณ์อ่อนไหวง่าย ถึงขั้นคุ้มคลั่งอาละวาด

ผู้ใหญ่ในสมัยก่อนจึงมักจะตักเตือนว่าสูบแล้วทำลายสมอง ทั้งสมองฝ่อบ้าง เพี้ยนบ้าง ตาเชื่อมตาลอย คิดอะไรช้า พัฒนาการทางสมองเสื่อมถอยลง

การนำอนาคตของชาติไปเสี่ยงเป็นเดิมพันกับกัญชา เพราะพรรคการเมืองหวังผลคะแนนเสียง นับเป็นนโยบายเลวร้ายที่สุด ที่ผมเคยพานพบมาในชีวิต

กัญชาเป็นเพียงสมุนไพรที่เชื่อว่าใช้รักษาอาการทางประสาท และโรคอื่นๆ ได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงความเชื่อ

พรรคการเมืองกลับปล่อยให้สังคมไปเสี่ยงเอาเอง โดยไม่มีกฎเกณฑ์รองรับเพื่อควบคุมอย่างเข้มงวด

บัดนี้ผลร้ายกำลังปรากฏออกมาให้สังคมได้เห็นผ่านสื่อทุกวี่ทุกวัน

แท้จริงแล้วสังคมได้อะไรจากกัญชา? คุ้มหรือไม่?

กัญชาทางการแพทย์ที่ใช้บังหน้า มีกี่เปอร์เซ็นต์ที่รักษาหาย?

ยังไม่มีใครตอบได้

แล้วที่เอาไปใช้พี้สันทนาการ เด็กเยาวชนหามาลองเสพง่าย เมื่อกัญชาถูกกฎหมายจะมีการเสพกัญชาขยายตัวมากขึ้น

เพราะแม้แต่ตอนที่กัญชาผิดกฎหมาย เป็นยาเสพติด ยังมีการลักลอบเสพได้

หากวันนี้ไม่หยุดยั้ง ไม่ต่อต้านกัญชา

เราจะเหมือนจีนที่ถูกนำฝิ่นเข้ามามอมเมา แต่นั่นนำมาโดยคนต่างชาติเจ้าอาณานิคม

ตอนนี้เราคนไทย กลับนำกัญชาเข้ามามอมเมาคนไทยด้วยกันเอง

เราต้องร่วมมือกันต่อต้าน เพื่อให้ชาติพ้นวิกฤต จากคนที่นำยาเสพติดเข้ามาในสังคม

14 พฤษภาคมนี้ ดีเดย์ลงคะแนน

สำหรับผม เดินสายต่อต้านกัญชาทั่วประเทศ

 

 

ขอบคุณข้อมูล/ภาพ : เฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์