กฟผ.เผยสถิติการใช้ไฟฟ้าวานนี้(6 เม.ย.)​เกิดความต้องใช้สูงสุดปีนี้เมื่อเวลา 20:52 น. อุณหภูมิ ​31.2 องศาเซลเซียส อากาศร้อนจัดคนไทยเปิดแอร์คลายร้อน เปิดวิธีประหยัดรับค่าไฟฟ้าพุ่ง

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) รายงานสถิติการใช้ไฟฟ้าในระบบ 3 การไฟฟ้าพบว่า วานนี้ (6 เม.ย.)เกิดความต้องใช้สูงสุด(พีค) ในปีนี้ที่ 32,154.4เมกะวัตต์ เมื่อเวลา 20:52 น.ด้วยอุณหภูมิ 31.2 เซลเซียสซึ่งการใช้ไฟฟ้าที่พีคเกิดเกิดจากอากาศร้อนจัดทำให้คนไทยเปิดเครื่องปรับอากาศ (แอร์) และพัดลมคลายร้อนมากขึ้นโดยพีคดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นรอบที่ 3 ของปีนี้ อย่างไรก็ตามยังไม่ทำลายสถิติพีคในระบบของประเทศที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2565 เวลา 22:36 น. ที่เกิดขึ้น 32,254.5 เมกะวัตต์ที่ 32.0 องศาเซลเซียส

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)กล่าวว่า พีคในระบบ 3 การไฟฟ้าปีนี้จะนิวไฮไม่ต่ำกว่า 3.4 หมื่นเมกะวัตต์ อย่างไรก็ตามหากรวมกับไฟฟ้าของเอกชนที่ผลิตเพื่อใช้เอง (ไอพีเอส) อีก 5,000 เมกะวัตต์แล้ว ความต้องการไฟฟ้าของประเทศอาจสูงถึง 3.9 หมื่นเมกะวัตต์ในปีนี้

นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวงหรือ MEA กล่าวว่า ค่าไฟเป็นแบบอัตราก้าวหน้าฤดูร้อนอุณหภูมิสูงกว่าปกติจะส่งผลให้มีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น เป็นเหตุให้เสียค่าไฟมากขึ้น วิธีการที่จะช่วยให้ใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยคือ การหมั่นดูแล บำรุงรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้าให้พร้อมใช้งานและปลอดภัยอยู่เสมอ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ดี โดยยึดหลัก “ปิด – ปรับ – ปลด – เปลี่ยน” โดยปิดไฟดวงที่ไม่ใช้ ปรับลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศมาอยู่ที่ระดับ 26-27 องศาเซลเซียส พร้อมเปิดพัดลมควบคู่ จะเป็นการช่วยให้ประหยัดพลังงาน

ขณะเดียวกันควรปลดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งาน เปลี่ยนไปใช้เครื่องปรับอากาศที่มีค่าประสิทธิภาพสูง และหมั่นล้างเครื่องปรับอากาศอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน เปลี่ยนพฤติกรรมโดยไม่เปิด-ปิดตู้เย็นบ่อยๆ พกกระติกน้ำแข็งไว้ดื่ม ไม่ควรกักตุนอาหารไว้ในตู้เย็นเกินความจำเป็น ตรวจขอบยางประตูตู้เย็นให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED เลือกใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า (เบอร์ 5) และควรใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร ควรปิดสวิตช์และดึงปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าออกทุกครั้ง เมื่อไม่ได้ใช้งาน หมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ถ้าชำรุดต้องซ่อมแซมทันที ป้องกันการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร รวมทั้งติดตั้งสายดิน พร้อมเครื่องตัดไฟรั่ว เพื่อป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้า