“จตุพร” เล่าเบื้องหลังแจ่มแจ้ง ชนิดเสื้อแดงต้องรู้ทันสิ่งจอมปลอม จวก“ชัยเกษม”กล้าคุยโม้สวยหรูป้องกันยึดอำนาจ ลบล้างผลพวง รปห. ย้อนช่วงมีอำนาจปี 54 ไม่เคยคิดทำอะไร ซ้ำร้ายเครือข่ายอำนาจยังสมคบสยบยอมการยึดอำนาจ เจรจายอมเอาชีวิตคนตายไปขายแลกคดีจำนำข้าว ฟาดอยากได้อำนาจอีกเรียกกลับบ้าน ยามปกติปล่อยทิ้ง ไม่ดูดำดูดีกัน กังขาเงินดิจิทัล หวั่นสวมประโยชน์เจ้าสัว ย้ำทักษิณรีบกลับมาก่อนเลือกตั้ง แนะไม่เป็นภาระให้ลูกสาวลำบาก

เมื่อ 6 เม.ย. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "แจ่มแจ้ง" ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่งสัญญาณ “ไร้รัก ไร้ผล” แสดงถึงนัยยะเปิดสนามรบใหม่ที่กำหนดชัยชนะได้เบ็ดเสร็จ พร้อมย้อนเล่าชีวิตการเมืองของชัยเกษม นิติสิริ เมื่อครั้งมีอำนาจไม่ได้ต่อต้านและลบผลพวงการรัฐประหารตามคำคุยโวบนเวทีเปิดความคิดแดนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย ดังนั้นสิ่งที่พูดสวยหรูจึงไม่เคยมีอยู่จริง

ทั้งนี้ ปรากฎการณ์ใหม่ที่ส่งสัญญาณทางการเมืองในช่วงหาเสียงเลือกตั้งเริ่มเข้มข้นขึ้น เริ่มที่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์สื่ออย่างจงใจ เมื่อ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา ในงานสถาปนากลาโหม 136 ปี โดยพูดถึงเพลง ไร้รัก ไร้ผล พร้อมย้ำกับสื่อให้ช่วยกันดูแลบ้านเมืองอย่าให้แตกกแยก 

เพลง “ไร้รัก ไร้ผล” พระราชนิพนธ์ของ ร.6 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยกขึ้นมา วงดนตรีสุนทราภรณ์ ขับร้อง มีเนื้อหาดังนี้

เรานี้เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง
ควรคำนึงถึงชาติศาสนา
ไม่ควรให้เสียทีที่เกิดมา
ในหมู่ประชาชาวไทย

แม้ใครตั้งจิตรักตัว
จะมัวนอนนิ่งอยู่ไฉน
ควรจะร้อนอกร้อนใจ
เพื่อให้พรั่งพร้อมทั่วตน

ชาติใดไร้รักสมัครสมาน
จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล
แม้ชาติย่อยยับอับจน
บุคคลจะสุขอยู่อย่างไร

อย่างไรก็ตาม นายจตุพร เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ เน้นการสัมภาษณ์สื่อแบบเจาะจง แล้วพูดถึงเพลง ไร้รักไร้ผล อาจแสดงนัยยะถึงสงครามใหม่กำลังเริ่มต้น และการจะชักดาบสู้รบต้องเป็นสมรภูมิที่สามารถกำหนดชัยชนะได้ แต่สนามเลือกตั้งย่อมรู้ดีว่าสู้ไม่ได้ จึงต้องหาสนามสงครามใหม่ที่หวังได้ชัยชนะ ดังนั้น สงครามอะไรที่จะเกิดขึ้น จึงน่าสนใจ

"ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จะไปต่อ จำต้องมองถึงเส้นทางใหม่ไว้ แล้วหลังจากนี้อะไรจะบังเกิดขึ้น เพราะคนที่อยู่ในอำนาจมาจวน 9 ปีเต็ม แสดงถึงการจัดการอำนาจเป็น แม้ดูเหมือนเป็นคนไม่มีอะไร แต่คณะ 3 ป.เป็นกลุ่มศึกษาอำนาจในไทยอย่างละเอียด ผมคาดว่าหลัง 14 พ.ค.นี้ ยุทธการไร้รักไร้ผลจะมีนัยยะสำคัญ"

นายจตุพร กล่าวถึงชัยเกษม ผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 10 พรรคเพื่อไทยว่า เมื่อมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนที่สามของเพื่อไทยด้วย จึงทำให้ย้อนแย้งกับเหตุผลของอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร และเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตอันดับหนึ่งและสองตามลำดับ และทั้งคู่ไม่ลงปาร์ตี้ลิสต์เพราะต้องการทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร ดังนั้น เหตุผลจึงเป็นแค่ข้ออ้างจำเป็นเอาตัวรอดจากสื่อมวลชนรุมถามว่า ทำไมไม่ลงปาร์ตี้ลิสต์เพื่อให้นายกฯ เชื่อมโยงกับ ส.ส.ของประชาชนเลือก

สิ่งสำคัญการปรากฎชื่อชัยเกษมเป็นแคนดิเดตนายกฯนั้น สะท้อนว่า ดีลบุคคลพิเศษไม่สำเร็จ ส่วนการประโคมโหมข่าวเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ยังเป็นแค่ลูกเล่นการตลาดการเมือง และใช้สื่อสารสร้างอีเวนต์มาเป็นจุดขายดึงดูดความน่าสนใจเท่านั้น เมื่อปรากฎชื่อชัยเกษม กลับไม่ฮือฮาให้สมกับคำคุยเป็นบุคคลพิเศษแต่อย่างใด

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อชัยเกษม ถูกชูจุดขายจะมาป้องกันการยึดอำนาจ พร้อมลบล้างผลพวงของรัฐประหารที่ผ่านมา และคนนี้ยังเป็นคนทุบโต๊ะในวันที่ 21-22 พ.ค.2557 ก่อนที่พล.อ.ประยุทธ์ จะยึดอำนาจอีกด้วย แต่เมื่อมีการสมคบกันสกัดผู้ชุมนุมไม่ให้มาถนนอักษะแล้ว การทุบโต๊ะของชัยเกษม คงไม่ได้บอกถึงการต่อสู้กับการรัฐประหารเลย

อีกทั้งเล่าว่า ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนเดียวที่สกัดคนไม่ให้มาชุมนุมได้ เพราะการชุมนุมได้แบ่งหน้าที่กันทำงานชัดเจน โดยแกนนำ นปช.รับผิดชอบเวทีชุมนุม ส่วนทักษิณ บริหารช่องทางจัดนำคนมาชุมนุม เมื่อคนชุมนุมจากเรือนหมื่นลดลงเหลือแค่จำนวนร้อยคน จึงอธิบายได้ชัดเจนว่า มีการสกัดคนและต่อมาจึงรู้ว่า เป็นการสมคบกันเพื่อลดแรงต่อต้านการรัฐประหาร “นี่คือข้อเท็จจริง” นายจตุพร ย้ำ พร้อมเผยว่า

"ในวงเจรจาที่หอประชุมกองทัพบกวันที่ 21-22 พ.ค.นั้ ผมเป็นหัวหน้าทีมฝ่าย นปช. ส่วนชัยเกษม เป็นตัวแทนเพื่อไทยและรองนายกฯ รักษาการไปนั่งเจรจา อีกทั้งยังมีตัวแทนของ กปปส. พรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งแม่ทัพนายกองทั้งหลายก็นั่งร่วมวงเจรจาด้วย มี พล.อ.ประยุทธ์ นั่งหัวโต๊ะ ส่วนการยึดอำนาจได้ผ่านการสมคบกันไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งคนที่นั่งในวงเจรจาอาจจะรู้หรือไม่รู้ ก็ต้องแสดงไปตามหน้าที่เท่านั้น"

ในวงเจรจาวันนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ชัยเกษม แสดงการสมยอมให้เห็น โดยบอกรัฐมนตรีรักษาการจะไม่ทำหน้าที่อะไร ยกเว้นหนังสือที่ปลัดกระทรวงลงนามไม่ได้ รัฐมนตรีจะลงนามเอง ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ก็อยู่ในเงื่อนไขที่เหนือกว่า สำหรับตนพยายามยื้อเวลาไม่ให้เกิดการยึดอำนาจแต่ไม่เป็นผลใดๆ

นายจตุพร ระบุุถึงการสมยอมและสมคบให้ยึดอำนาจว่า เป็นการแลกเปลี่ยนคดีโครงการจำนำข้าวที่ ปปช.ใกล้พิจารณาเสร็จ ตลอดจนมีเงื่อนไขการกลับบ้านของทักษิณเข้ามาเกี่ยวข้อง  โดยการสมคบแลกเปลี่ยนนั้น เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนตัว รมว.กลาโหมใหม่ ให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ มานั่งควบอีกตำแหน่ง ซึ่งเป็นการสูญเสียอำนาจโดยสิ้นเชิง หลังจากนั้นชัยเกษม ก็ไม่ได้ออกมาต่อสู้ในเรื่องอะไรด้วยเลย 

ขณะเดียวกัน ระบุว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังไม่ได้ต่อสู้เรื่องลบล้างผลพวงรัฐประหาร หรือต่อสู้การรัฐประหาร หรือเมื่อกองทัพมีอำนาจมากยังไม่แสดงเจตนาใดเพื่อแก้ พรบ.กลาโหม ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งผู้บัญชาการ แม่ทัพ นายกอง ส่วนฝ่ายบริหารมีอำนาจตั้งได้แค่ปลัดกระทรวงเท่านั้น

“นับตั้งแต่ยึดอำนาจปี 2549 กระทั่งชนะเลือกตั้งถล่มทลายในปี 2554 ก็ยังไม่เห็นเจตนามุ่งลบล้างผลพวงรัฐประหารเลย กลับสมคบคิดกับคนปราบคนเสื้อแดง เพื่อแลกด้วยประโยชน์จากคดีจำนำข้าว และพลังงานตั้งต้น 5,000 เมกะวัตต์ ก็เริ่มในยุคนี้ จนนายทุนเติบโตยิ่งขึ้นในปัจจุบัน”

ส่วนบทบาทชัยเกษม นายจตุพร กล่าวว่า นอกจากไม่ได้ทำอะไรกับการต่อต้านรัฐประหารแล้ว สมัยเป็นอัยการสูงสุดเป็นคนฟ้องแกนนำ นปช.คดีชุมนุมที่แยกสี่เสาเทเวศร์ กับคดีก่อการร้าย แต่ต่อมาได้ถอนฟ้องทักษิณ จากจำเลยที่หนึ่ง แล้วมาสังกัดพรรคเพื่อไทย ได้เป็น รมว.ยุติธรรม สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 

ดังนัน การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ตามที่ชัยเกษม กล่าวอ้างและประกาศบนเวทีเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย นายจตุพร กล่าวว่า “ชัยเกษมต้องปฏิรูปตัวเองเสียก่อน เพราะสิ่งที่ทำมานั้น ไม่ใช่ความยุติธรรม” 

ส่วนการป้องกันการรัฐประหารนั้น เห็นว่า ชัยเกษม ต้องรู้ดีที่สุด หนึ่งรัฐบาลต้องไม่ทุจริตคอร์รัปชั่น สองต้องไม่ลุแกอำนาจ โดยการจะออกนิรโทษกรรมสุดซอย ซึ่งนำโอกาสของประชาชนจะได้รับอิสระภาพออกจากคุกไปแลกกับให้คนสั่งฆ่าประชาชนและคดีทุจริตได้พ้นมลทินไปด้วย จึงเป็นประตูบานใหญ่ของการลุแก่อำนาจได้ชัดเจน 

นายจตุพร มั่นใจว่า การป้องกันการรัฐประหารนั้น ชัยเกษม รู้ดีว่าตัวเองไม่มีปัญญา แม้ได้เป็นรัฐมนตรี แต่ไม่มีอำนาจในทางปฏิบัติ แล้วยังพยายามปั้นการลบล้างผลพวงรัฐประหาร  จึงเป็นเพียงแค่การพูดให้ดูสวยงามบนเวทีประกาศนโยบายหาเสียงขอคะแนนประชาชนเท่านั้น

"ในอดีตถ้าพรรคเพื่อไทยต้องการป้องกันการยึดอำนาจ และลบล้างผลพวงรัฐประหาร รวมทั้งเคารพกับทุกชีวิตที่ประชาชนได้แลกให้ตัวเองได้มีอำนาจ แล้วทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์การรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 ก็ไม่มีวันจะเกิดขึ้น อีกทั้งถ้าไม่สมคบกับอำนาจรัฐประหาร และในวันนั้นถ้าประชาชนยังเต็มถนนอักษะอยู่การยึดอำนาจจะไม่ง่ายดายเลย"

“ดังนั้น การจะพูดอะไรก็ได้เพื่อใให้ตัวเองดูดี ผมคนหนึ่งที่ไม่เชื่อ และไม่แตกต่างจากปิยบุตร (แสงกนกกุล) ไม่เชื่อ แต่ความไม่เชื่อของผมเป็นของคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริง อีกทั้งต้องรับผิดชอบชีวิตผู้คนในการต่อสู้”

นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งแรกที่ตนได้รับอิสระภาพจากการปล่อยตัวหลังรัฐประหาร คือ การส่งสัญญาณความไม่พอใจกับการสยบยอมในเรื่องการจัดหาและนำคนมาร่วมชุมนุม ส่วนการเจรจาที่หอประชุมกองทัพบกนั้น เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งให้การยึดอำนาจสมบูรณ์เท่านั้นเอง

"การที่ชัยเกษมมากล่าวอวดอ้างใดๆ ในสิ่งที่ตัวเองมีโอกาสจะทำ แต่ไม่ทำ ดังนั้น ใครจะปลุกอย่างไรก็ว่ากันไป จะตามเสื้อแดงกลับบ้านต่อสู้กับเผด็จการ แต่สิ่งแรกที่คุณมีอำนาจ ควรกระทำเพื่อคนที่ตายให้กับคุณ แต่ผลลัพธ์การกระทำของคุณ คือไปสมคบกับคนยึดอำนาจในปัจจุบันนี้ และมีหลากหลายเรื่องราวในการสมคบกันทั้งวันยึดอำนาจและหลังยึดอำนาจ ดังนั้น การกล่าวอ้างเพื่อลบล้างผลพวงการยึดอำนาจจึงไม่มีอยู่จริง"

นายจตุพร กล่าวถึงพรรคเพื่อไทยจะไม่จับมือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่า เมื่อหลังยึดอำนาจแล้ว ใครก็รู้ถึงความสัมพันธ์กับใครในการวางตัวบุคคลประสานงานกับ พล.อ.ประวิตร ซึ่งตนเห็น แต่ไม่ต้องการมาเผาพรรคเพื่อไทย แต่ที่พูดต้องการบอกว่าเป็นข้อเท็จจริง ส่วนเพื่อไทยกล่าวจึงเป็นสิ่งจอมปลอมทั้งหลายที่มาบอกประชาชน

พร้อมกับย้ำว่า การที่เพื่อไทยต้องการทำทุกวิถีทางให้ได้อำนาจมา แต่เมื่อได้มาแล้วในปี 2554 ก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อตอบแทนชีวิตคนเสื้อแดงที่ตาย และครอบครัวต้องสูญเสียจากการต่อสู้ ส่วนกลุ่มทุนที่ประชาชนไปรบรามาก็กลับมาอยู่ใกล้ชิดอำนาจอีกตามเดิม
ส่วนนโยบายใช้เงินดิจิทัลในรัศมี 4 กม.ของเพื่อไทยนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องนำมาใช้ เพราะเงินบาทก็ควบคุมพื้นที่ได้ โดยนโยบายเพื่อไทยให้เงิน 10,000 บาทกับคนอายุ 16 ปีขึ้นไปใช้ในเวลา 6 เดือน คิดแล้วจะมีเงินใช้จ่ายต่อวันเพียง 55 บาทเท่านั้นเอง 

ถ้าเทียบกับนโยบายเบี้ยบำนาญประชาชนที่หลายพรรคเสนอนั้น จะเฉลี่ยได้ใช้วันละ 100 บาทหรือปีละ 36,000 บาท อีกทั้งเงินเยียวยาช่วงโควิดของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์์ แม้จะชั่วจะดีก็ตาม ยังให้มากกว่าเพื่อไทยในระยะเวลา 6 เดือนเทียบเท่ากัน

"ดังนั้น การให้เงินใช้จึงไม่ใช่อะไรใหม่เลย แต่เงินดิจิทัลวอลเล็ตกลับจะไปทำลายโครงสร้างระบบเงินของประเทศ และถ้ามีคนในกระบวนการทำนโยบายไปเกี่ยวข้องกับเงินดิจิทัลแล้ว ผลลัพธ์สุดท้ายในโลกสมมติจึนี้จึงมีทั้งได้และเสีย แต่คนที่เสียจริงคือ ประชาชนเหมือนเป็นแมงเม่าเข้าไฟในตลาดหุ้น เหมือนพนันออนไลน์ไม่แตกต่างกัน เพราะทุกอย่างเป็นการเสกสร้าง จึงไม่จีรังเหมือนสกุลเงินบาท"

นายจตุพร สงสัยว่า การคิดเงินดิจิทัลตามพื้นที่และตามบัตรประชาขนในรัศมี 4 กม. มีเหตุผลอะไรจึงต้องใช้เงินดิจิทัลวอลเล็ต ถ้าต้องการจะให้ประชาชน เงินไม่ได้มากมายอะไรเลย ดังนั้น จึงไม่ควรตื่นเต้นในด้านจำนวนเงิน แต่ต้องตื่นเต้นในความเสียหายของระบบการเงินประเทศที่ไม่มีการรองรับ แล้วยังจะนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ อีก 

“เราจึงไม่ต้องการให้ประเทศเดือดร้อน แล้วยังจะทำให้กลุ่มเจ้าสัวได้ประโยชน์ทับซ้อนเหมือนที่ผ่านมาตามเดิม ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย และ กกต. ซึ่งมีผู้รู้มากมายต้องออกมาพูดให้ชัดเจน เรียกพรรคเสนอนโยบายมาชี้แจ้งอย่างรอบด้าน” 

ส่วนทักษิณ กลับบ้านนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าวันหนึ่งอุ๊งอิ๊ง ได้เป็นนายกฯ จะจัดการความสัมพันธ์การกลับบ้านอย่างไร เพราะอารมณ์ความรู้สึกของลูกจะย้อนแย้งกับการเป็นผู้นำฝ่ายบริหารอย่างยิ่งในการตัดใจหรือพิจารณาให้พ่อกลับบ้านภายในปีนี้ ดังนั้น ทักษิณจึงไม่ควรเป็นภาระกับลูกสาว โดยต้องกลับในวันนี้ พรุ่งนี้ หรือก่อนวันที่ 14 พ.ค. นี้ หรือก่อนวันที่ลูกจะเป็นนายกฯ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาทางการเมืองกับอุ๊งอิ๊ง

"เรื่องทักษิณกลับบ้าน ผมเชื่อเป็นเรื่องโกหก เพราะหลังเลือกตั้ง 14 พ.ค. เมื่อเพื่อไทยชนะก็จะเปลี่ยนแปลงอีก โดยอ้างเหตุผลความจำเป็นต่างๆ ซึ่งประเทศนี้ก็แปลก ทักษิณพูดอะไรก็เชื่อ เมื่อโกหกก็ฟัง และโกหกกี่ครั้งก็ไม่ว่าอะไร ทั้งที่การโกหกจะมีแค่ครั้งเดียวที่ทำได้ แต่ทักษิณทำกี่ครั้งคนก็ยังเชื่อ แล้วปล่อยให้ทำซ้ำๆ"

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าเอาบ้านเมืองเป็นที่ตั้งแล้ว ถ้าทักษิณ ต้องการกลับมาจริงก็เดินเข้าคุกให้สง่างาม ไม่เป็นพิษภัยอะไรกับใคร แล้วก็ยุติเรื่องได้ หากอ้างจะเข้ามาเพื่อต้องการคะแนนเสียงให้แลนด์สไลด์แล้ว จึงเป็นการหวังผลทางการเมือง เมื่อเสร็จเลือกตั้งก็ไม่กลับมา “ผมจึงเชื่อว่า กลับบ้านเป็นเรื่องโกหกเพื่อมาสร้างปรากฎการณ์แลนด์สไลด์เท่านั้น”

อย่างไรก็ตาม เปรียบประเทศไร้ทางออกว่า คนเป็นปัญหาสองคนทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และทักษิณ ปิดทางออกไว้มิดชิด ประชาชนหันซ้ายก็เจอปัญหา เลี่ยงมาทางขวายังพบคนเป็นปัญหาอีก ขณะที่ประชาชนกลับเผชิญกับความหิวโหย จึงเป็นเความน่ากังวล แล้วยังมีความย้อนแย้งทางการเมืองและการสมคบ สมยอมกันเป็นตอนๆ ตามดุลอำนาจแลกเปลี่ยนประโยชน์ของตัวเองในแต่ห้วงของสถานการณ์

นายจตุพร อธิบายการต่อรองเป็นตอนๆ โดยยกกรณีการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เมื่อมีอำนาจและได้เยียวยาผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการชุมนุมต่อสู้ไปแล้ว ดังนั้น ความคิดของผู้มีอำนาจจึงเห็นว่า เรื่องคนตายจึงต้องจบตอนกันไป แต่ผู้มีอำนาจไม่เข้าใจจิตวิญญาณ เจตนารมณ์การต่อสู้ของประชาชน 

"คนไม่ได้มาต่อสู้เพื่อให้ตัวเองตายแล้วได้เงิน 7.5 ล้านเยียวยาชีวิต จึงเป็นความไม่เข้าใจของผู้มีอำนาจ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่ใช่มนุษย์ปกติ แต่เป็นความพิเศษของผู้ปกครองหน้าด้านใจดำ และพร้อมทรยศกับการต่อสู้ของประชาชน ดังนั้นพฤติกรรมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า คุณไม่เอาใคร เอาแต่ครอบครัว วงศาคณาญาติตัวเองเท่านั้น แล้วยังมองชีวิตคนเสื้อแดงเป็นการขายขาด ไม่มีความผูกพันในการต่อสู้ และยามปกติ จึงทิ้งขวางกัน เมื่อจะใช้เสื้อแดง ก็เรียกหาให้กลับบ้าน มาเป็นฐานมวลชนสร้างอำนาจของครอบครัวตัวเองอีกเหมือนเดิม"

ประเทศไทยต้องมาก่อน