ถือเป็นความชัดเจนครั้งแรก สำหรับเหตุผล ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีถึง2 คน และการไม่ลงสมัครส.ส.บัญชีรายชื่อของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
“ใครจะว่าอะไรก็ว่าไป ผมมองในเรื่องของการให้โอกาสคนอื่นเขาขึ้นมาเป็นบ้าง ผมก็เลยให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็น ส.ส. บัญชีรายชื่ออันดับ 1 เพราะมีผลกับการอยู่ 2 ปีของตน หลายคนถามว่าตนอยู่ 2 ปีแล้วจะเป็นยังไง ก็นั่นไงคือคำตอบ ซึ่งเป็นตัวเลือกในการเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งต่อไป ถ้าผมได้อยู่ 2 ปี ก็จะมีคนสานต่อตรงนี้ ทุกอย่างมันคือยุทธศาสตร์…”
นั่นย่อมหมายถึงยุทธศาสตร์ในการส่งไม้ต่อให้กับ “พีระพันธุ์” หลังจากที่ “ลุงตู่”สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีกเพียง 2 ปีจากคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ
ขณะที่เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ “ขิง”เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ก็ได้ขยายผลการสื่อสาร ว่าหมายเลขพรรค 22 สอดคล้องบริบทพรรค ทั้งเรื่องพรรครวมไทยสร้างชาติมีแคนดิเดตนายกฯ 2 คน และ “ลุงตู่”จะทำหน้าที่ต่ออีก 2 ปี
นั่นทำให้แสงสปอตไลต์ฉายจับไปที่ “พีระพันธุ์” ขับเน้นให้ออร่าบารมีของเขาโดดเด่นเหนือใคร
สำหรับ “พีระพันธุ์” หรือชื่อเล่น “ตุ๋ย” ปัจจุบันอายุ 64 ปี เป็นอดีตผู้พิพากษาที่เดินเข้าสู่ถนนการเมืองครั้งแรกกับพรรคประชาธิปัตย์ เคยได้รับการเลือกตั้งเป็นส.ส.กทม. และเคยเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีผลงานโดดเด่นที่ทำให้ไทยชนะคดี “ค่าโง่ทางด่วน 6.2 พันล้านบาท"
ก่อนจะยื่นหนังสือลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ แล้วได้รับการแต่งตั้งเป็น ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จากนั้นย้ายมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ และได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าพรรคในเวลาต่อมา
โดยระหว่างเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี มีผลงานสำคัญ ในการต่อสู้คดีจนชนะ “ค่าโง่โฮปเวลล์” ทำให้ไทยไม่ต้องสูญเงินถึง 3 หมื่นล้านบาท และยังสร้างผลงานในการเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูการบินไทย ที่ทำให้การบินไทยกลับฟื้นตัวต่อเนื่องและคาดว่าจะออกจากแผนฟื้นฟูก่อนกำหนดในปลายปี 2567 ก่อนจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่เปรียบเหมือน “นายกฯน้อย”