วันที่ 6 เม.ย.66 จตุพร พรหมพันธ์ุ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์ ระบุว่า...
“จตุพร” จับตาปาร์ตี้ลิสต์เพื่อไทยที่ 22 “เมียบิ๊กกี่” ระบุเป็นใบเสร็จบอกร่องรอยสัมพันธ์การเมือง พท. กับ พปชร. เชื่อเป็นนักการเมืองโครงการแลกเปลี่ยนค้ำประกับการจับมือหลังเลือกตั้ง ข้องใจทำไมไม่ฝากลง พปชร. มั่นใจคำมั่นสัญญาไม่จับมือกันจะลงท้ายเบี้ยวดื้อ พร้อมอ้างเหตุจำเป็นสารพัด จี้อีกครั้งบอกมาให้ชัด จับมือกันหรือไม่ ส่วนล่าสุดออกอาการแล้วว่า “อะไรก็เกิดขึ้นได้”
เมื่อ 5 เม.ย. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "คำมั่นสัญญา" โดยกล่าวว่า พรรคการเมืองถ้าไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาแล้ว จะเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งและวุ่นวายทางการเมือง จนเป็นสาเหตุให้ทหารยึดอำนาจ แล้วทำให้ประเทศต้องติดกับดักมาต่อเนื่องถึง 9 ปี
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าไม่ปฎิบัติตามคำมั่นสัญญา อีกทั้งเกิดความไม่ซื่อสัตย์ ไม่สุจริตขึ้นจริง ย่อมปราศจากเกราะป้องกันการยึดอำนาจ อย่างไรก็ตาม แม้การยึดอำนาจเป็นความเลวร้าย แต่รัฐบาลก็ไม่ควรทำตัวเองให้เป็นเงื่อนไข โดยเฉพาะในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นโดยช่วงที่ประสบความสำเร็จแล้วทางการเมือง คนมักจะมองว่าไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้ดูเบื้องหลังความสำเร็จ และถ้าเลือกตั้งชนะก็จะกลายเป็นถูกหมดอีก สิ่งเหล่านี้จึงเป็นกับดักของประเทศมาตลอด
พร้อมทั้ง กล่าวว่า ประเทศควรมีทางเลือก มีความหวัง และไม่ต้องอยู่กับกับดัก ส่วนพรรคการเมิองจะอธิบายเบอร์หาเสียงอย่างไรก็แล้วแต่ละพรรคจะพูดกัน แต่ในวันนี้เราควรมีคำมั่นสัญญากันหรือไม่ว่า จะจับมือกันกับพลังประชารัฐหรือไม่ โดยพูดเป็นคำมั่นให้ชัดเจน อย่าเอาแต่บิดพลิ้วไม่อยู่กับร่องกับรอย โดยล่าสุดพูดแต่เพียงว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้
อีกทั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อเพื่อไทยอันดับที่ 22 ซึ่งเป็นเมียของ พล.อ.นพดล อินทปัญญา เพื่อนรัก และเป็นลมหายใจเดียวกันกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ดังนั้นปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ 22 จึงเป็นใบเสร็จการเมืองอย่างสำคัญยิ่ง
พร้อมสงสัยและถามว่า ทำไม พล.อ.นพดล ผู้เป็นสามีของชื่อปาร์ลิสต์ที่ 22 และเป็นเพื่อน พล.อ.ประวิตร จึงไม่ฝากเมียลงพลังประชารัฐ และทำไมจึงมาลงพรรคเพื่อไทย แล้ว พล.อ.นพดล สนิทกับอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร หรือสนิทกับ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค หรืออย่างไร
"ดังนั้น สิ่งนี้คือการเดินเกม เช่นเดียวกับก่อนการยึดอำนาจปี 2557 และหลังยึดอำนาจ คือเป็นโครงการทุนแลกเปลี่ยนกันอยู่แล้ว ลองดูหลังการยึดอำนาจ สำนักงานของ พล.อ.ประวิตร มีใครอยู่บ้าง ใครเป็นเจ้าภาพดูแล แล้วใครที่เป็นคนของ พล.อ.ประวิตร ข้ามมาคุยกับซีกพรรคการเมืองนี้ตลอด"
นายจตุพร กล่าวว่า ที่สำคัญคือการวางตัวปาร์ตี้ลิสต์ เป็นสิ่งอธิบายกันอย่างชัดเจน ดังนั้น การพูดยกตำแหน่งนายกฯ ให้คนอื่นเป็นความโง่ แต่ครั้งนี้เปลือยกายล่อนจ้อนกันอย่างรวดเร็ว เพราะเริ่มมีร่องรอยให้เห็น และการพูดถึงการจับมือกับพลังประชารัฐว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ แล้วมีสร้อยนโยบายร่วมกันได้ จึงไม่มีความหมายใดๆ เลย
อีกทั้งย้ำว่า ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 22 ย่อมไม่ใช่ความบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องความชอบพรรคการเมือง ดังนั้น คำพูดอะไรก็เกิดขึ้นได้ แล้วมาอ้างนโยบาย ตนจึงเชื่อว่า พวกนี้ไม่ทำตามคำพูด การประกาศไม่จับมือพลังประชารัฐ แต่ท้ายที่สุดก็จับมือโดยจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขใดก็ตาม เพราะเริ่มแสดงออกแบบไม่อยู่กับร่องรอยกันแล้ว จนเก็บอาการไม่อยู่
"เรื่องนี้เป็นการเก็บอาการไม่อยู่ เพราะต่างคนต่างคิดว่าหลอกใช้กันไปก่อน คำพูดแบบนี้เรายังได้ยินเลย แล้วพวกนี้ไม่ได้ยินหรือ? พวกเสือทั้งนั้น ดังนั้นความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน จึงต้องมีอะไรมาควบคุม ทั้งองค์กรเบญจะภาคีก็มาควบคุม อีกทั้งการแสดงออกกับความเป็นจริง เดี๋ยวก็จะรู้กันว่า มันจะกลายเป็นคนละเรื่อง"
นายจตุพร กล่าวว่า ละครโรงนี้มีเวลาเพียงเดือนเศษเท่านั้น จึงอยู่ที่ประชาชนว่า จะขว้างอะไรใส่โรงละครโรงนี้หรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ถึงจะโกหก แต่มันเห็นเส้นทางการเมือง พอมาเป็นข้ออ้าง หรือเอาเงื่อนไขนโยบายมาอ้างเหตุการจับมือกัน ซึ่งไม่มีอยู่เลย จึสะท้อนถึงอาการบอกทิศทางได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
"การประกาศไม่จับมือก็มีสองอย่างคือ ยกตำแหน่งนายกฯ ให้แล้วเป็นพรรคร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เมื่อมีมือสองคือ มือพลังประชารัฐกับก้าวไกล เพื่อไทยจะจับมือกับใคร ผมเล่นทางจับมือกับ พล.อ.ประวิตร เพราะข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์แล้ว อีกทั้งต้องการความคุ้มครอง แล้วอยู่ดีๆ มาลำดับที่ 22 ถ้าไม่มีอะไร เพื่อไทยจะให้หรือ มาจากไหน ชื่อยังไม่ได้ยินเลย"
ส่วนกรณีทักษิณ ชินวัตร จะกลับบ้านนั้น นายจตุพร กล่าวว่า เป็นเงื่อนไขที่ถูกหยิบยกมาทำให้วุ่นวายกันหมด เพราะคดีเมื่อถึงที่สุดแล้ว ตามกฎหมายนั้นถ้ากลับมาต้องเข้าคุกรับโทษ 10 ปีที่ยุติแล้วอย่างเดียว ดังนั้น สิ่งนี้จึงเป็นเงื่อนไขที่ไม่สามารถหลุดพ้นได้เลย
"ถ้าทักษิณต้องการความสง่างาม ก็อย่ามาเป็นภาระให้กับลูกสาว ซึ่งจะได้เป็นผู้ปกครอง ก็อย่ามายุ่ง แต่หากกลับมาวันนี้ควรเดินเข้าเรือนจำอย่างสง่าผ่าเผยเลย สิ่งสำคัญถ้าทักษิณกลับมาในช่วงอุ๊งอิ๊ง เป็นนายกฯ ก็พังทันที ดังนั้น เงื่อนไขกลับในปีนี้จึงเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าอุ๊งอิ๊งเป็นนายกฯ"
นายจตุพร กล่าวว่า กรณีเศรษฐา ทวีสิน โชว์ใบ สด.9 ของลูกชายสองคนผ่านการเกณฑ์ทหารนั้น ขณะนี้มีรายงานข่าวยืนยันว่า ทั้งสองคนได้ผ่านการเกณฑ์ทหารจริง ด้วยเหตุสุขภาพไม่สมบูรณ์ ดังนั้น เมื่อเศรษฐาต้องการเป็นนายกฯ ตำแหน่งเดียวเท่านั้น จึงต้องมีความสะอาดหมดจด
"ผมเชื่อคุณเศรษฐาว่าลูกได้ผ่านเกณฑ์ทหาร เพราะร่างกายไม่พร้อม ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับใครก็ได้ เพียงแต่ต้องพิสูจน์การจ่ายเงิน วิ่งเต้นให้ลูกพ้นจากชายไทยประเภทดีหนึ่ง ประเภทหนึ่ง มาเป็นประเภทดีหนึ่งประเภทสองจนต้องถูกเขี่ยพ้นการเกณฑ์ทหารหรือไม่ ซึ่งคุณเศรษฐาจึงต้องพิสูจน์ เพื่อเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เพราะการเมืองอะไรเป็นข้อสงสัย หรือข้อกังวลแล้ว ย่อมไม่ดีทั้งนั้น อีกทั้งเมื่อพิสูจน์แล้ว ก็จะเป็นประโยชน์กับคุณเศรษฐาเอง"
นายจตุพร ย้ำว่า การที่เศรษฐา เสนอตัวมาเป็นนายกฯ แล้ว คงต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น โดยสาเหตุการยึดอำนาจบ้านเมืองที่ผ่านมาล้วนมาจากการทุจริตคอร์รัปชั่น หากมีการซื่อสัตย์สุจริตจะเป็นภูมิต้านทานได้เป็นอย่างดี
นายจตุพร กล่าวว่า การยึดอำนาจเป็นสิ่งที่เลวร้าย ซึ่งเป็นความจริงและไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่เราจะหยุดการยึดอำนาจไม่ได้เลย ถ้าไม่หยุดยั้งตัวเองจากการทุจริต อีกทั้งถ้ามีความซื่อสัตย์ ไม่ลุแก่อำนาจ ก็คงไม่มีทหารกล้ายึดอำนาจเช่นกัน จะกลายเป็นรัฐบาลแข็งแรง รวมทั้งเมื่อไม่ซื่อสัตย์กับประชาชนที่ถูกปราบโดยหวังไปพึ่งพิงทหารที่ปราบประชาชนมาค้ำบัลลังก์อำนาจ แล้วท้ายที่สุดทักษิณก็ไม่รอดจึงถูกยึดอำนาจเสียเอง
นอกจากนี้ ยังยกกรณีโครงการจำนำข้าวว่า เป็นสิ่งดี และประชาชนชอบ เพราะประชาชนจะมีคุณภาพชีวิตที่พอจะลืมตาอ้าปากได้ แต่น่าเสียดายกลับมีช่องว่างการหาประโยชน์ และยังมีการสวมรอยข้าวต่างประเทศ แล้วข้าวจำนำยังหายอีก 2 ล้านตัน จนเกิดความเสียหายอันเนื่องจากการทุจริตคอร์รัปชั่นที่มีขบวนการทำงานผ่านเสี่ยที่ถูกจับติดคุกอยู่ในขณะนี้
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าโครงการจำนำข้าวถ้าจัดความสัมพันธ์อย่างตรงไปตรงมา จะไม่มีหายนะและประชาชนยิ่งได้ประโยชน์ รวมทั้งพ่อค้าส่งออกย่อมได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า แต่การมารวบอยู่กับพ่อค้าเจ้าเดียวจึงทำให้ที่เหลืออีก 4 เจ้าพ่อค้าส่งออกข้าวต้องยื่นร้องกล่าวหาทางการเมือง แล้วทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พังลงทันที ถูกตรวจสอบ ขึ้นศาลและติดคุกกันทั่วหน้า
"ถ้าทำกันอย่างตรงไตรงมาแล้ว ชาวนาจะมีชีวิตที่ดีที่สุด แต่การแสวงหาผลปรโยชน์ทับซ้อน โดยเอาโครงการที่ดีไปทำประโยชน์ให้กับตัวเอง ซึ่งไม่แตกต่างจากการให้พม่ากู้เงิน ไทยย่อมได้ความสง่างาม แต่ต้องนำเงินกู้ไปซื้อสินค้าของชินวัตรแล้ว จึงกลายเป็นคนละเรื่อง เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนจากการหากินกับโครงการที่ดี"
นายจตุพร กล่าวว่า หากนักการเมืองไม่ทุจริตเสียแล้ว ยากมากที่ทหารจะยึดอำนาจ เพราะความซื่อสัตย์ของรัฐบาลและผูกพันประชาชนแท้จริงแล้วจะเป็นเกราะป้องกัน แต่ที่ผ่านมา การยึดอำนาจกลับไม่มีประชาชนออกมาปกป้อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักการเมืองสมคบสมยอมกับการยึดอำนาจ จนสร้างความเสียหายให้ประเทศมาต่อเนื่อง 9 ปี
ประเทศไทยต้องมาก่อน