บริษัท เคทู เมดิคอล (ประเทศไทย) จำกัด ส่ง เคทู เอสธีติค ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านความงามชั้นนำเปิดตัว “NHH” แบรนด์สกินแคร์สัญชาติไต้หวัน รุกตลาดความงามประเทศไทย พร้อมอัดงบหลักประมาณ 200-300 ล้านบาท วางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่จากสารสกัดพืชไทยสู่ตลาดโลก เสริมความแกร่งช่องทางจัดจำหน่ายเข้มข้นทั้งออฟไลน์-ออนไลน์ พร้อมสยายปีกขยายฐานลูกค้าอาเซียน

นายไมเคิล เย่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคทู เมดิคอล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดสกินแคร์ยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 มีมูลค่าตลาดรวม 8.34 หมื่นล้านบาทเติบโต 7-8% ขณะเดียวกันยังมีการแข่งขันที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพและความงามจากผู้เล่นทั้งแบรนด์ในประเทศและเคาน์เตอร์แบรนด์จากต่างประเทศ ที่มุ่งเน้นไปในทิศทางเดียวกันคือการพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในแต่ละช่วงของอายุ ส่งผลให้ 5 ปีที่ผ่านมาตลาดสกินแคร์ขยายขอบเขตมากขึ้น แต่ผู้นำตลาดยังคงเป็นเคาน์เตอร์แบรนด์ต่างประเทศและ Organic Brand

โดยในปี 2566  บริษัท เคทู เมดิคอล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีบริษัทย่อย เคทู เอสธีติค เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านความงาม จึงรุกเข้าสู่ตลาดสกินแคร์ในประเทศไทย โดยนำเข้าแบรนด์ NHH จากประเทศไต้หวันซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัด LONICA เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะที่ช่วยให้ Sodium Hyaluronate ซึมลึกลงสู่ชั้นผิวชั้นใน ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งบริษัทได้รับสิทธิ์เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยจาก บริษัท บี แอนด์ เอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล ไบโอเทค จำกัด เบื้องต้นจะทำตลาดใน 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ได้แก่ Hyaluronic Acid Treatment Essence ,Hyaluronic Acid Treatment Cream, Hyaluronic Acid Treatment Lotion, Hyaluronic Acid Skin Renewal facial wash, Hyaluronic Acid Energy Toner, Hyaluronic Acid Herbpro Acne เพื่อเจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยรุ่น Y2K    

“การมีผู้เล่นในตลาดจำนวนมากทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่ตอบโจทย์ปัญหาการดูแลผิวเฉพาะบุคคลและไลฟ์สไตล์ของตัวเองมากขึ้น ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็พร้อมเปิดใจรับนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อการดูแลผิวพรรณของตัวเองให้ดูดีที่สุด บริษัทจึงมองว่าเป็นความท้าทายมากกว่าเป็นอุปสรรค เพราะปัจจุบันสกินแคร์ส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์นำเข้าจากอเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่นและเกาหลี ดังนั้นการเปิดตลาดใหม่ภายใต้ผลิตภัณฑ์จากไต้หวัน จึงถือว่าเป็นโอกาสของบริษัทที่จะสร้างความแตกต่าง รวมถึงความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้ผู้บริโภค” นายไมเคิล เย่กล่าว 

Ms.Hsieh Hui-Ping ประธานบริษัท  บริษัท บี แอนด์ เอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล ไบโอเทค จำกัด ผู้คิดค้น และพัฒนา ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงาม จากธรรมชาติ อันดับหนึ่งในประเทศไต้หวัน กล่าวว่า “B&M ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2536 ภายใต้ความตั้งใจที่จะนำเสนอนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงและมีประสิทธิภาพที่มาจากธรรมชาติ โดยค้นหาส่วนผสมคุณภาพตามหลักปรัชญาที่ว่า "หากส่วนผสมนั้นเราสามารถกินได้ ก็ย่อมปลอดภัยที่จะใช้กับผิวของเรา" ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมาเราได้ทำงานร่วมกับบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500, สถาบันของรัฐบาล และบริษัทสตาร์ทอัพด้านความงาม เพื่อค้นหาและสกัดส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีการสกัดส่วนผสมจากพืชที่ได้รับสิทธิบัตรเป็นของตัวเอง และปัจจุบันเราได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำในการช่วยลูกค้าของเราผลิตสูตรเฉพาะ และสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลความงามให้กลุ่มลูกค้าทั่วโลก”

สำหรับ แบรนด์ NHH ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และ A+ PERDU ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม เป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งและได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอันดับต้นๆในประเทศไต้หวัน เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค ที่ส่วนผสมหลักคือสารสกัดที่มาจากธรรมชาติ 100% ตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก ตลอดจนกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคชาวไต้หวันมายาวนาน รวมถึงเป็นตัวแทนของประเทศไต้หวันในการเข้าร่วมประชุม APEC  2022 ซึ่งจัดขึ้นในประเทศไทย
การขยายตลาดมายังประเทศไทยครั้งนี้ เรามองว่าผลิตภัณฑ์เหมาะกับสภาพผิวและสามารถตอบโจทย์ความต้องการเรื่องการบำรุงผิวผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม แต่ยังไม่มีผลิตภัณฑ์จากไต้หวันในตลาดประเทศไทยมากนัก นี่จึงเป็นโอกาสสำหรับ NHH และ A+ PERDU จะเข้ามาสร้างความแปลกใหม่ให้ตลาดและเป็นทางเลือกที่ดีให้กับผู้บริโภค เราจึงเชื่อมั่นว่า K2 เอสธีติค จะสามารถทำให้แบรนด์ NHH และ A+ PERDU ติดตลาดและเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคชาวไทยได้ไม่ยาก 

นายพีท เชียช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท 79 ยูนิ มายด์ จำกัด ในฐานะผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แบรนด์ NHH กล่าวเสริมว่า ในปี 2566 นี้ บริษัทมีกลยุทธ์การดำเนินงาน 3 ด้าน ได้แก่ 1.การสร้างแบรนด์และนำนวัตกรรมที่สกัดโดยพืชธรรมชาติให้ลูกค้าและผู้ที่กำลังมองหาสิ่งที่ตอบโจทย์ต่อการดูแล บำรุงผิวอย่างปลอดภัยมากที่สุด 
2.สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ เตรียมจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) กับบริษัทสัญชาติไต้หวันภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางเอเชียแปซิฟิก เพิ่มประสิทธิภาพในการขยายตลาด การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมถึงสร้างนวัตกรรมเพื่อขึ้นเป็นผู้นำเทรนด์ของผลิตภัณฑ์บำรุงและเส้นผมที่สกัดจากธรรมชาติ 100% 

3.ขยายสินค้าในช่องทางอื่นๆ โดยในช่วง 3 เดือนแรกเริ่มจำหน่ายผ่านช่องทางของ Online ของบริษัท Platform ต่างๆ รวมถึง Market place ต่างๆ และเตรียมขยายช่องทางจำหน่ายในส่วนของ Retail Store เพื่อเติมในช่วงปลายปี ซึ่งจะเติมเต็ม Ecosystem ของบริษัทให้กลายเป็น One Stop Service ด้านบริการผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเส้นผม นอกจากผลิตภัณฑ์สกินแคร์ NHH แล้วในอนาคตอันใกล้ บริษัทมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ เส้นผมแบรนด์ A+PERDU และเปิดตลาดต่างประเทศโดยเริ่มจากประเทศเพื่อนบ้านเช่น ลาว กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม อีกด้วย

ทั้งนี้บริษัทได้วางงบลงทุนสำหรับปีนี้ประมาณ 200-300 ล้านบาท สำหรับการดำเนินงานใน 2 ส่วนคือ งบสำหรับการลงทุนสร้างศูนย์พัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าแต่ละวัย รวมถึงผลิตภัณฑ์พิเศษสำหรับเทศกาลต่างๆ คาดว่าจะเริ่มการพัฒนาผลิตภัณฑ์ช่วงไตรมาส 3 หรือ 4 ปี 2566 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สวยจากภายในสู่ภายนอก” ตั้งแต่การสร้างวิตามิน สร้างเซลล์จากภายในร่างกายและบำรุงภายนอกด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนและปลอดภัย เพื่อเป็นผู้นำในด้านผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากธรรมชาติ 100% โดยเฉพาะสารสกัดจากพืชเมืองไทยเพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะของคนไทยส่งออกสู่ตลาดโลก สำหรับ ส่วนที่ 2 เป็นงบสำหรับการทำการตลาด สร้างแบรนด์และการขยายกลุ่มลูกค้า ภายใต้ 3 กลยุทธ์ดังกล่าว นอกจากเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากสารสกัดธรรมชาติของเอเชียแปซิฟิกแล้วเรายังเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯให้ได้ภายใน 4 ปี