“จตุพร”ประเมินเพื่อไทยยังครองเสียงอันดับหนึ่ง เชื่อไม่ถึงเป้า 310 เสียง เหตุก้าวไกลมาแรง ไม่มีแผ่ว เบียดตรึงเสียงได้หนาแน่น คาดภูมิใจไทย พรรคชงกัญชามาแรงในซีก รบ.เดิม ลั่นใครพูดอะไรไว้ ไม่จับมือ พปชร. ไม่ยกนายกฯ ให้ อย่าผิดสัญญา ข่มอยากถอนคำพูดรีบถอนก่อนลงคะแนน ถ้าไม่ถอนผิดสัจวาจาถูกขับไล่ แล้วอย่ามาว่ากันนะ
เมื่อ 4 เม.ย. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ใครเป็นต่อ?" โดยประเมินการหาเสียงของทุกพรรคการเมืองว่า ยังไม่มีพรรคใดได้เปรียบเด็ดขาด ส่วนใครและพรรคใดประกาศสัญญาอะไรไว้ ต้องจดจำให้ดี หากผิดคำพูดประชาชนจะออกมาขับไล่ทันที
นายจตุพร ประเมินว่า ถึงที่สุดแล้วเชื่อมั่นว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง แต่จะได้เสียงจำนวนเท่าไรยังไม่ชัดเจน ส่วนการประกาศบัญชีรายชื่อน่าสนใจมีอยู่ 2 คน คือ นายชัยเกษม นิติสิริ ลำดับที่ 10 และลำดับที่ 22 นางประวีณ์นุช อินทปัญญา เมียของ พล.อ.นพดล อินทปัญญา เพื่อนสนิทของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นมือประสานและรู้จักแกนนำเพื่อไทยอย่างดี เมื่อเมียมาอยู่เพื่อไทย มีโอกาสได้เป็น ส.ส.แน่ๆ จึงน่าสนใจ
พร้อมทั้งกล่าวถึงนายชัยเกษม เมื่อมาลง ส.ส.บัญชีรายชื่อในลำดับที่ 10 แล้ว จึงไม่น่าจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนที่สามของเพื่อไทย ดังนั้น แคนดิเดตนายกฯ คนที่สามอาจมีดีลพิเศษสำคัญอย่างที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้ จึงไม่ควรประมาทว่าจะไม่มีใครอีก
ส่วนนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ คนที่สองของเพื่อไทย เสนอนโยบายยกเลิกเกณฑ์ทหาร แต่ถูกสื่อโซเชียลโจมตีกรณีลูกชายสองคนยังไม่เกณฑ์ทหาร แต่นายเศรษฐาโชว์ใบ สด.9 ยืนยันผ่านการเกณฑ์ทหารนั้น ตนเห็นว่า ใบ สด.9 เป็นเพียงใบแสดงการขึ้นทะเบียนทหารของชายไทยที่อายุครบ 17-18 ปี ไม่ใช่ใบผ่านการเกณฑ์ทหาร ซึ่งเป็นใบ สด.43
"เมื่อมาสำแดงใบ สด.9 คนก็หัวเราะกันทั้งเมือง เพราะไม่ใช่ใบผ่านเกณฑ์ทหาร จึงเป็นความผิดพลาดในการต่อสู้อย่างรุนแรง ดังนั้น นายเศรษฐา ยิ่งอธิบายก็ยิ่งเข้าตัว ยิ่งเป็นการปล่อยไก่ เพราะใบ สด. 9 เป็นเครื่องยืนยันว่า ยังไม่ได้เกณฑ์ทหาร อย่างไรก็ตาม ถ้าผ่อนผันหรือเลยเวลาผ่อนผันแล้ว สัสดีในพื้นที่ควรทำความจริงให้ปรากฎ"
อีกทั้ง เห็นว่า เมื่อนายเศรษฐาพูดถึงการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ยังถูกย้อนว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับคนในครอบครัวตัวเอง เรื่องแบบนี้ผู้อาสามาเป็นผู้นำประเทศต้องหมดจดด้วย หากสำแดง สด.9 แต่ยังไม่เกณฑ์ทหารอาจเข้าข่ายหนีทหารได้ จึงสะท้อนถึงการปล่อยไก่ว่า นี่หรือคนจะมาเป็นนายกฯของไทย
นายจตุพร ประเมินการหาเสียงของเพื่อไทยว่า ยังไม่มีอะไรบ่งชี้จะได้เสียงแลนด์สไลด์ เพราะพรรคก้าวไกลยังมีเสียงแข็งแรงมาก จึงสะท้อนว่า แลนด์สไลด์ของเพื่อไทยคงไม่เกิดขึ้น ยิ่งพรรคไทยสร้างไทยสร้างทางเลือกที่สามขึ้นมาได้ ก็จะเป็นยอุปสรรคและลดเสียงเพื่อไทยไปได้ยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงขณะนี้พรรคก้าวไกลยังไม่แผ่ว ยังเติบโตอย่างมีระบบและมีนัยยะสำคัญอยู่
"เมื่อก้าวไกลยังไม่แผ่วแล้ว ผมเชื่อว่าเพื่อไทยจะเดินไปถึง 310 เสียงยากมาก และไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย แต่ทางการเมืองนั้น ในซีกของฝ่ายที่เรียกเป็นประชาธิปไตยจะรู้ผลชัดเจนในสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนการลงคะแนน”
ส่วนอีกซีกหนึ่งคือ พรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่มีแกนนำอย่างพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์ นายจตุพร กล่าวว่า การขึ้นเวทีดีเบตทางการเมืองคนจะให้ความสนใจมากกว่าการปราศรัยหาเสียง และจะมีแรงเหวี่ยงทางการเมืองมากด้วย เพราะเป็นการใช้ไหวพริบของแต่พรรคมาวัดตัดสินใจของประชาชน ดังนั้น ปฏิภาณของผู้พูดแต่ละพรรคจึงสำคัญ อีกทั้งต้องพูดให้สั้น กระชับตรงประเด็น เพื่อสะดวกต่อการตัดคลิปนำไปเผยแพร่ต่อ
"ในซีกพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ขณะนี้ภูมิใจไทยยังถือว่ามีเสียงมาอันดับหนึ่งอยู่ แต่ได้เท่าไรไม่รู้ ส่วนพลังประชารัฐกับรวมไทยสร้างชาติต้องฟาดกันแย่งชิงเสียงกันไป เนื่องจากมีจุดขายหาเสียงกันคนละแบบกัน”
นายจตุพร กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยประกาศเป็นทางการแล้วว่า ได้ 310 เสียง ไม่ยกนายกฯให้ใคร จะไม่จับมือพรรคพลังประชารัฐตั้งรัฐบาล แม้ตนจะไม่เชื่อ แต่ทางการเมืองต้องยึดถือคำประกาศของพรรคการเมืองเป็นที่ยุติ และเป็นสัญญาประชาคมต่อประชาชนไปแล้ว
ดังนั้น ตนจึงย้ำเสมอว่า พรรคใดพูดอะไรไว้ขอให้จดจำให้ดี รวมทั้งประชาชนต้องจำให้ได้เช่นกันว่า ใคร พรรคใดพูดอะไรไว้ แล้วหลังจากเลือกตั้งใครทำอย่างที่พูดหรือไม่ เพราะการเป็นรัฐบาลถ้าเรี่มต้นผิดคำพูด แล้วก็อย่าหวังว่า จะซื่อสัตย์สุจริต
"อยู่ดีๆ ทักษิณ ชินวัตร ประกาศยุติจัดรายการคลับเฮาส์ชั่วคราวถึง 16 พ.ค. แล้วมีชื่อนายชัยเกษมและเมียบิ๊กกี่ (พล.อ.นพดล) เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อเพื่อไทย จึงต้องหยุดคิด แม้บางคนสร้างจินตนาการให้ พล.อ.ประวิตร ดูแลความมั่นคง เพื่อไทยบริหารเศรษฐกิจ แต่เพื่อไทยประกาศจะไม่จับมือกับพลังประชารัฐแล้ว เราจึงต้องเชื่อคำประกาศทางการเมืองช่นนี้ไว้เสมอ เมื่อตราบใดยังไม่มีการถอนคำประกาศ"
อีกทั้งย้ำว่า การหาเสียงของทุกพรรคจะดำรงทิศทางชัดเจนได้ตั้งแต่ 1 พ.ค. จนไปถึงวันลือกตั้ง เพื่อทำให้ชนะเลือกตั้ง ได้เป็น ส.ส.และเป็นรัฐบาล แต่สิ่งสำคัญในส่วนภาคประชาชนต้องการเปลี่ยนประเทศอย่างมีนัยยะสำคัญ เพื่อพลิกโฉมประเทศในทุกมิติจนสามารถแข่งขันกับโลกได้เท่าทันและเท่าเทียม
"วันนี้ถ้าประเทศไทยยังไม่คิดจะทำหรือผลิตอะไรเป็นของตัวเองแล้ว ต้องเริ่มคิดการจัดวางอนาคตประเทศแบบรัฐบุรุษ ซึ่งในสนามการเมืองขณะนี้ยังไม่มีเลย แต่ทุกพรรคเสนอนโยบายแบบหาเชากินค่ำกันหมด ขาดการวางโครงสร้างของประเทศอย่างแท้จริง”
นายจตุพร กล่าวว่า การหาเสียงช่วงนี้ ยังเป็นแค่การชิมลางกันอยู่ ไม่มีพรรคใดชนะขาด แต่สิ่งสำคัญคือ การพูด สัญญาทางการเมืองที่ให้กับประชาชนต้องไม่ผิดสัจวาจา ใครผิดคำพูดต้องถูกจัดการ ดังนั้นต้องจดจำคำพูดของใคร ของพรรคใดที่เคยหาเสียงไว้ ถ้าไปทำอีกอย่างโดยจะอ้างเหตุผลใดก็ตาม ย่อมฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น
"ใครประกาศอะไรไว้แล้ว หากจะยกเลิก จะถอนคำประกาศ ต้องรีบถอนก่อนวันเลือกตั้ง แต่ถ้าดำรงความมุ่งหมายตามที่ประกาศแล้ว และไปทำอีกอย่างก็อย่ามาว่ากันนะ ไม่ว่าซีกไหน เอากันทุกฝ่าย เพราะเรามีมาตรฐานในการขับไล่เหมือนกัน เราไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แต่เราเอามาตรฐานของบ้านเมือง ของประเทศเป็นที่ตั้งและมาก่อนความเป็นคนปกติ"