เมื่อ 3 เม.ย. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ตรงเป้า" โดยไม่เชื่อว่า ทักษิณ ชินวัตร จะทำได้ตามประกาศยุติรายการคลับเฮาส์จนถึง 16 พ.ค.นี้ เหตุเพราะฝ่ายตรงข้ามจะยั่วยุในสิ่งที่ทนไม่ได้จนต้องตบะแตก แล้วต้องออกมาพูดก่อนถึงวันที่ 16 พ.ค.ตามที่ประกาศไว้
นายจตุพร มั่นใจว่า ตนอยู่ใกล้ชิดทักษิณมาตลอด 29 ปี ย่อมรู้พฤติกรรมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตลอดเวลา ดังนั้น การประกาศครั้งนี้ของทักษิณ ตนจึงหวังให้ตัวเองคาดการผิดที่บอกว่า ทักษิณไม่สามารถฮุบปากได้นานจนถึง 16 พ.ค. ขอให้เชื่อขนมกินได้ว่า ต้องออกมาพูดก่อนเวลาประกาศไว้แน่นอน
“ผมไม่เชื่อว่าทักษิณ จะหุบปากจนถึงวันที่ 16 พ.ค. 2566 ได้จริง และที่ต้องยุติรายการคลับเฮาส์ชั่วคราวนั้น เกิดการต่อรองบางอย่างขึ้นใช่หรือไม่” นายจตุพร ถามในฐานะคนที่เคยรู้จักพฤติกรรมมาอย่างรู้ไส้รู้พุงกันดีตลอด 29 ปีที่เคยสัมพันธ์กันมา
พร้อมทั้งระบุถึงการต่อรองว่า มีอยู่สองสถานคือ มั่นใจชนะเลือกตั้งอย่างเบ็ดเสร็จแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องหาเรื่องอีก กับมีเหตุเข้าข่ายการยุบพรรคอย่างเบ็ดเสร็จแล้ว จึงถูกบอกให้หยุด โดยจะเห็นการปราศรัยของเพรรคเพื่อไทยในช่วงหลังๆ นี้ จะระมัดระวังตัวมากขึ้น มีเกราะข้อกฎหมายมายันรองรับไว้ แต่การพูดก่อนหน้านี้ได้เข้าข่ายยุบพรรคอย่างมีผลสมบูรณ์ไปล้ว
"การยุติจัดรายการคลับเฮาส์ชั่วคราวของทักษิณ ไม่ได้มาจากการบังเอิญเลย แต่เราสังเกตเห็นว่า อยู่ดีๆ มวยก็ช็อกเอาดื้อๆ เพราะเพิ่งตอบวิรัช รัตนเศรษฐ พรรคพลังประชารัฐ แรงๆไปไม่กี่วัน แต่ผมเชื่อขนมกินได้ว่า ความเป็นทักษิณ จะเงียบปากได้ไม่นาน เพราะวันนี้การชนะทั้งกระดานไม่ได้เป็นเช่นนั้น และสัญญาณบางอย่างล้วนทำให้ฉิบหายได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการยุบพรรคและการกลับบ้าน อีกอย่างการพูดของทักษิณเป็นชนวนให้การเลือกตั้งไม่ราบรื่นได้ ถึงที่สุด ผมเชื่อว่า ทักษิณเก็บปากไม่ได้"
นายจตุพร มั่นใจว่า ทักษิณ จะทนไม่ได้กับความรู้สึกว่ากำลังเพลี่ยงพล้ำ ทักษิณก็จะกลับหลังหันทันที ดังนั้น ตนเห็นพฤติกรรมทนไม่ได้แสดงอาการมาต่อเนื่องตลอด 29 ปีที่รู้จักกันมา จึงเชื่อได้ว่าทักษิณ ไม่สามารถหุบปากได้จนถึงวันที่ 16 พ.ค.ก็แล้วกัน
อีกทั้งกรณีทักษิณ ออกจดหมายเชิญชวนให้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งในเชียงใหม่แลเชียงรายนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ทุกอย่างมีการต่อรองกันได้ แต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชี้แจงเบื้องต้นไปแล้วว่า ผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้าข่ายเป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้ง เป็นบุคคลภายนอกไม่สามารถออกจดหมายได้ ซึ่ง กกต.ละเว้นโทษในกรณีจดหมายให้แล้ว
ส่วนการยุบพรรคนั้น นายจตุพร กล่าวว่า อยู่ที่ กกต.จะยกเนื้อหาที่เป็นข้อห้ามกระทำมาดำเนินการได้เสมอ แม้จะบอกว่า ไม่มีอะไรก็ตาม นั่นเป็นเพราะยังไม่มีสัญญาณจะลงมือจัดการกัน นอกจากนี้ ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งจะเห็นทิศทางการเมืองได้ชัดเจน ยิ่งถ้าทักษิณ ยังพูดเพ่นพ่านมากก็จะมีการสวิงโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไว้สู้กับทักษิณตามเดิมก็ได้ ดังนั้น การไม่พูดจนถึงวันที่ 16 พ.ค.จึงเป็นข่าวร้ายของ พล.อ.ประยุทธ์ เช่นกัน
"ผมเชื่อว่า ถ้ามีบางฝ่ายต้องการให้ทักษิณ ออกจากถ้ำก่อนกำหนดแล้ว ย่อมมีวิธีลากให้ออกมาได้ ดังนั้น จากนี้ไปจะมีการรุกให้ทักษิณตบะแตกเหมือนเดิม ผมจึงเชื่อว่าทักษิณ อดทนไม่ถึง 16 พ.ค. ซึ่งมันจะมีตัวยั่วในเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น โดยฝ่ายตรงข้ามรู้ดีว่า จะตีตรงไหนจนทนไม่ได้ แล้วทักษิณก็จะออกมา"
นายจตุพร กล่าวถึงนโยบายของพรรคการเมืองว่า การเสนอนโยบายของพรรคการเมืองล้วนเป็นเสนอเพื่อแก้ปัญหาความหิวในวันนี้เท่านั้น ไม่ได้คิดถึงอนาคตจะได้อิ่มยั่งยืนอย่างไร โดยแต่ละประเทศเมื่อจะเปลี่ยนการพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว จะเริ่มต้นจากการลอกเลียนแบบสินค้าประเทศอื่นทั้งสิ้น จีนลอกเลียนสินค้าเทคโนโลยี่ เครื่องใช้ไฟฟ้าจนสร้างยี่ห้อของตัวเองออกสู่ตลาดโลก แล้วยังจะเป็นเจ้าแห่งรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว ซึ่งแสดงว่า สงครามรถยนต์ในอนาคตจะเป็นเวลาของจีนครองความยิ่งใหญ่ในรถยนต์ไฟฟ้า
ส่วนญี่ปุ่นเริ่มลอกการผลิตรถยนต์น้ำมันแล้วส่งขายไปยังประเทศต้นแบบจนได้รับการยอมรับ สำหรับเกาหลีใต้ เริ่มจากการก๊อปปี้โทรศัพท์มือถือ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ จนผลิตแบรนด์ของตัวเองส่งออกขายกันทั้งโลก
ส่วนไทยนั้น เคยคิดและมีเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อธานินทร์ แต่ขาดความต่อเนื่องและการสนับสนุนในการพัฒนายกระดับจากรัฐ จึงหายไปจากระบบการแข่งขันในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าจนแทบจะสูญสิ้นกันไปเลย ดังนั้น การพัฒนาเศรศฐกิจของไทยจึงแตกต่างจากของประเทศในแถบเอเซียด้วยกันที่คิดถึงอนาคตเพื่อพลิกโฉมเปลี่ยนแปลง แต่ไทยคิดแค่ให้มีกินในวันนี้เท่านั้น
นายจตุพร กล่าวว่า หากคิดจะเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตกันจริงแล้ว ไทยต้องรื้อระบบเศรษฐกิจผูกขาดของทุนให้หมดสิ้น แล้วนำมาจัดสรรกันใหม่ให้เป็นธรรม ทั้งการถือครองที่ดิน ทรัพยากรแร่ พลังงาน การสื่อสาร เหล้าเบียร์ เป็นต้น ดังนั้น ประเทศต้องไม่คิดแบบเดิม แต่ต้องคิดทั้งโครงสร้าง จึงจะเปลี่ยนประเทศไปสู่อนาคตได้ทัน
ส่วนการเลือกตั้งนั้น เห็นว่า แม้ทุกพรรคก็มีนโยบาย แต่ไม่สามารถนำไปใช้ได้อย่างแท้จริง เพราะแค่ไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนแล้ว ก็ไม่สามารถจัดการได้ สิ่งสำคัญไม่มีพรรคการเมืองเสนอจัดการโครงสร้างประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ เนื่องจากเกิดการทับซ้อนผลประโยชน์กันหมด
"การพลิกโฉมเปลี่ยนแปลงประเทศต้องจัดสรรทรัพยากรของชาติอย่างเป็นธรรม รวมทั้งยกระดับทรัพยากรมนุษย์เพื่อไปสู้กับนานาประเทศได้ โดยการนำเอาคนเก่งแต่ละด้านมารวมกันคิดอ่าน สร้างให้เป็นนวัตกรรมต่างๆขึ้นมา อีกทั้งรัฐต้องใส่ใจผลการวิจัยที่ผ่านการศึกษานำไปต่อยอดให้เกิดผลผลิตของประเทศ ไม่ใช่นำไปให้เอกชนได้ประโยชน์ ที่สำคัญการคิดอะไรเฉพาะสวนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้"