วันที่ 2 เม.ย. 66 นายจตุพร พรหมพันธ์ุ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน โพสต์ข้อความผ่าน เพจเฟซบุ๊ก Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์ ระบุว่า...
“ไพศาล” อดีตกุนซือ “บิ๊กป้อม” เชื่อสภาวะ“มืดมน อนธการ” เริ่มทำให้ ปชช.หวั่นกลัว เผยแม่ค้ากังวลพรรคที่ชอบ รอเลือกถูกยุบ ซ้ำร้าย กกต.ขาดน่าเชื่อถือเที่ยงธรรม ผสมกลุ่มอำนาจคิดแผนลากยาว รบ.รักษาการ ส่วน“ทักษิณ-เพื่อไทย” เริ่มลำพองแลนด์สไลด์ วงศาคณาญาติจ่อพาเหรดนั่ง “รัฐมนโท” ขณะที่บรรยากาศความรู้สึกแบบปฏิวัติประชาชาติ-สีอาหรับ-รัฐประหาร รอในเงามืดทะมึน คอยมะรุมมะตุ้มกันอยู่เบื้องหลัง
เมื่อ 1 เมษายน 2566 นายไพศาล พืชมงคล ร่วมรายการประเทศไทยต้องมาก่อน มีนายนิติธร ล้ำเหลือ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ร่วมพูดคุยถึงสภาวะ "มืดมน อนธการ" ซึ่งเป็นความผิดปกติของสถานการณ์การเลือกตั้งในขณะนี้
นายไพศาล กล่าวว่า สภาวะมืดมน อนธการ อย่างไม่ปกตินี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยตนรู้สึกถึงแนวโน้มจะเกิดการปฏิวัติ 3 ชนิดพร้อมกันอย่างเงียบๆ เหมือนเป็นเงามืดตามอยู่เบื้องหลังการเลือกตั้งครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ความรู้สึกแรกของประชาชนคือ จะไม่ได้ลงคะแนนเลือกพรรคเป้าหมายของพวกเขา เพราะกลัวจะมีการยุบพรรคเพื่อไทย ก้าวไกล และพลังประชารัฐ ดังนั้น ตนหวั่นจะเกิดการปฏิวัติประชาชาติขึ้น ซึ่งข่าวแบบนี้แม่ค้าในตลาดยังสอบถามถึงการยุบพรรคช่วงหลังรับสมัคร ส.ส. จึงแสดงว่า แม่ค้าตั้งใจไปลงคะแนนให้พรรคที่อยู่ในเป้าหมายถูกยุบพรรค
ดังนั้น สิ่งนี้อาจส่อถึงแนวโน้มการก่อตัวของคนจำนวนมากลุกฮือขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมาย ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในจีน เนปาล อิหร่าน ศรีลังกา รวมทั้งฝรั่งเศสกำลังจะเกิดขึ้น เมื่อประชาชนรวมตัวต่อต้านการปฏิรูปสวัสดิการ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์แบบนี้เรียกว่า การปฏิวัติประชาชาติชนิดหนึ่งที่ประชาชนลุกขึ้นปลดแอกตัวเองจากรัฐ
อีกทั้ง ระบุว่า ความน่ากังวลในสถานการณ์เลือกตั้งของไทยนั้น เมื่อประชาชนตั้งใจไปเลือกตั้งพรรคที่พวกเขาหมายปองไว้ หากถูกยุบพรรคก่อน การลุกฮือโดยธรรมชาติจะก่อตัวขึ้นอย่างไม่ได้นัดหมายเพื่อทวงสิทธิ์ของประชาชนคืน โดยใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรงที่รัฐคืนให้ตามประกาศกฤษฎีกายุบสภา และเป็นการใช้อำนาจไม่ผ่านตัวแทนอีกแล้ว ซึ่งไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นตามมา
"วันนี้นักการเมืองที่ไว้ใจได้มีกี่คน ที่ผ่านมาประกาศไม่สนับสนุนใครเป็นนายกฯ แต่เมือเลือกตั้งเสร็จก็ตระบัดสัตย์ทันที ไปสนับสนุนคนที่จะไม่สนับสนุนเป็นนายกฯ ได้ขึ้นเป็นนายกฯ แล้วอย่างนี้คิดว่า ประชาชนจะไม่จดจำนักการเมืองกะล่อนหรือ? ประชาชนทนฟังมา 4 ปีแล้ว"
นายไพศาล กล่าวถึงเงามืดการปฏิวัติแบบที่สองว่า มีต้นแบบมาจากการปฏิวัติสีของอาหรับสิ่งสำคัญการปฏิวัติแบบนี้มักมีมหาอำนาจต่างชาติไปชักใยจัดตั้งมวลชนคนหนุ่มสาวในสถาบันการศึกษาให้ลุกฮือขึ้นมา ประกอบกับผู้บริหารทางการศึกษามีลักษณธแบบมาเฟียกุมอำนาจไว้ จนอายุ 80-90 ปีก็ยังอยู่ในตำแหน่งทำมาหากินกันสนุก สิ่งนี้จึงเป็นเสมือนบ่อน้ำเน่าพักยุ่งให้เกิดการลุกฮือขึ้นนมาได้ง่ายดายอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ จึงประมาทไม่ได้ที่จะเกิดการปฏิวัติสีขึ้น จากมหาอำนาจต่างชาติคอยหนุนหลังนักศึกษา ซึ่งกำลังก่อตัวขึ้นในไทยอีกทั้งยังมีการเคลื่อนไหวเงียบๆ ควบคู่มากับการเลือกตั้งพรรคที่ประชาชนจะเลือกอย่างก้าวไกลกลับเข้าข่ายจะถูกยุบด้วย ขณะเดียวกันยังประสานกับเสียงแสดงความกลัวของแม่ค้าจึงสามารถวัดอาการเคลื่อนไหวในเงามืดมน อนธการได้ดีเช่นกัน
รวมทั้งระบุว่า ท่ามกลางความรู้สึกมืดมนอนธการนี้ ย่อมทำให้การปฏิวัติทั้งสองชนิดที่ก่อตัวขึ้นเหมือนเป็นเงาปีศาจตามติดอยู่ข้างหลัง รอโอกาสเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวขึ้นมา ผสมกับสถานการณ์ของคนที่อยากอยู่ในอำนาจ ฉวยโอกาสก่อการยึดอำนาจตัวเองขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร โดยสิ่งสำคัญขณะนี้มีการพยายามปรับดุลอำนาจทหาร หากทำสำเร็จจะเกิดการสืบทอดอำนาจโดยการรัฐประหาร จึงเป็นการปฏิวัติชนิดที่สามที่ก่อตัวขึ้นอย่างมืดมน แต่การรัฐประหารสืบทอดอำนาจของทหารย่อมกังวลกับการถูกต่อต้านจากการปฏิวัติประชาชาติและการปฏิวัติสีได้เช่นกัน
"เมื่อการการปฏิวัติสีกับประชาชาติต้านการรัฐประหารแล้ว ทหาร 3 แสนคนยากที่จะเอาอยู่ และอะไรก็ตามที่ไม่ตั้งอยู่ในความชอบธรรมแล้วคนจะเข้าร่วมสนับสนุนน้อย ไม่เห็นหรือตอน คมช.ยึดอำนาจรัฐบาลไทยรักไทย ซึ่งมีเสียงและอำนาจอย่างมั่นคงมาก พร้อมวางกำลังล่วงลูกไปถึงระดับผู้บัญชาการกองพัน เมื่อไม่มีธรรมแล้ว คนก็สนับสนุนน้อย"
นายไพศาล กล่าวถึงการยึดอำนาจรัฐบาลไทยรักไทยในปี 2549 ว่า ตอนนั้นทหารต้องใช้กำลีงจากกองทัพภาค 3 เข้ามา กทม. เพื่อเป็นการประกันการแปรผันของทหารใน กทม. ซึ่ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ขณะนั้น เป็นนักการทหารที่เก่งมาก มาจากศูนย์สงครามพิเศษ ลพบุรี พูดถึงทักษิณว่า ไม่เข้าใจทหาร ถ้าไม่ย้าย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ให้ไปนั่งอยู่เฉยๆ แล้ว ก็ไม่กล้ายึดอำนาจ เพราะไม่รู้ว่า พล.อ.ชวลิต จะเอาอย่างไร
ส่วนทักษิณเข้าใจประชาชนหรือไม่นั้น นายไพศาล กล่าวว่า ทักษิณเข้าใจประชาชน แต่ให้ความสำคัญกับความรักของประชาชนไม่พอ หรือ น้อยเกินไป ทั้งที่ประชาชนรักทักษิณมาก เพราะทักษิณเป็นคนที่เอาใจใส่ในการกินอยูjของประชาชนได้ดีมากกว่านายกฯ คนอื่นๆ
พร้อมทั้งเห็นว่า เมื่อทักษิณพ้นอำนาจไปนานนับกว่า 17-18 ปี ประชาชนยังถวิลหา เนื่องจากไม่มีนายกฯ คนไหนมาใส่ใจประชาชน สิ่งที่ทักษิณเคยทำไว้ทั้งกองทุนหมู่บ้าน และ 30 บาทรักษาทุกโรค ก็ยังได้ใช้กันอยู่
“แต่วันนี้กลับถูกตัดโรงพยาบาลที่ใช้ออกไป เพราะต้องการให้คนไม่รักทักษิณ ก็ไปยกเลิกโรงพยาบาลโดยอ้างว่า โกง ไม่กล้ายกเลิก 30 บาทรักษาทุกโรค ประชาชนจึงโกรธคนทำให้เบิกจ่ายงบรักษาช้า ไม่ได้ด่าทักษิณ
นายไพศาล กล่าวว่า สิ่งที่ทักษิณให้ความสำคัญประชาชนน้อยเกินไป เพราะเอาครอบครัวมายุ่งการเมืองมากเกินไป โดยประเทศจีนยุคโบราณห้ามฝ่ายในมายุ่งเกี่ยวกับราชการบ้านเมือง มีกฎมนเทียรบาลห้ามไว้ เนื่องจากผู้หญิงมีความรัก ความชังง่ายกว่าบุรุษ ใครเอาใจก็ว่าดี ใครทำให้ขุ่นเคืองต่อให้ดี ก็จะมองว่าเลว จึงทำให้ยุ่งเหยิงกันหมด
“เมื่อทักษิณ นำเครือญาติที่เป็นผู้หญิงมายุ่งการเมือง แล้วยังจะเอาเข้ามาอีกมาก และยังมีแนวโน้มจะเข้ามาอีก ที่ผ่านมาเป็นรัฐบาลถึง 3 ครั้งยังรักษาอำนาจรัฐไม่ได้ ส.ว. จึงบอกว่า ถ้าทักษิณชนะเลือกตั้งได้มาก ก็เป็นรัฐบาลไม่ได้ ถ้าเป็นรัฐบาลได้ก็จะถูกยึดอำนาจอีก”
ส่วนทักษิณกับความสัมพันธ์กับสถาบันกษัตริย์นั้น นายไพศาล กล่าวว่า คนจะเป็นนายกฯ ต้องเรียนรู้วิชาเบื้องต้นที่สุดอย่างวิชาเสมียน และต้องรู้ราชวัตร 10 ข้อปฏิบัติทั้งหลายของข้าแผ่นดินต้องรู้ และต้องประพฤติในราชวัตรนี้แล้ว ใครจะไปทำอะไรทักษิณได้ แต่เมื่อไม่ดำรงตนเป็นราชวัตรแล้ว ความเป็นสิริมงคลจะเกิดอยู่แก่ตนที่ไหน
นายไพศาล กล่าวถึงทักษิณกับหลักศาสนาว่า ทักษิณมองคนผิด ไว้ใจคนบางคนเกินไปจนนำพาไปทำให้ฉิบหาย ถึงวันนี้รู้หรือยัง ถ้าไม่รู้ก็ช่วยไม่ได้ ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้ แม้เครือข่ายอำนาจชนะและได้กลับมาแล้ว แต่ก็ยึดอำนาจอีกเช่นเดิม
นอกจากนี้ นายไพศาล ยังเป็นห่วงการทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า จะเป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกมืดมน อนธการ เพราะ กกต.ชุดนี้เคยผิดพลาดกับการเลือกตั้งปี 2562 มาแล้ว เกี่ยวกับนำคนต่างด้าวมานับร่วมเป็นราษฎรไทย ซึ่งศาล รธน.ได้วินิจฉัยในกรณีอย่างชาญฉลาดว่า ไม่มีผลย้อนหลัง แสดงถึงไม่ต้องการให้เกิดการเรียกร้องให้เพิกถอนการเลือกตั้งปี 2562 ซึ่งจะมีผลถึงสถานะนายกฯ ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีสภาพก่อนปี 2562 อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ นายไพศาล เชื่อว่า กกต.มีหน้าที่ สุจริต เที่ยงธรรม และรวดเร็ว หากเลือกตั้งเสร็จแล้วรอผลอย่างเป็นทางการอีก 2-3 สัปดาห์ และกว่าจะตั้งรัฐบาลใหม่ได้ต้องรอไปถึงปลายสิงหาคม ซึ่งช้าและส่อเกิดความรู้สึกมืดมน อนธการขึ้นได้ง่ายดาย
ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งสำคัญกับการแบ่งเขตเลือกตั้งที่ถูกพรรคการเมืองร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งนัดวินิจฉัย 7 เมษายน นี้ หากตัดสินแบ่งเขตขัด รธน. ดังนั้น กกต.ต้องมาแบ่งเขตใหม่ และกระทบต่อการเลือกตั้งส่อจะถูกเลื่อนไปอีกอย่างน้อยหนึ่งเดือนก็ได้ ยิ่งทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่เป็นรัฐบาลรักษาการนานออกไป
ในประเด็นการเป็นรัฐบาลรักษาการให้นานนั้น นายไพศาล เสนอว่า อาจเกิดจากผลกระทบ กกต. แสดงสปิริตลาออก รับผิดชอบกับความผิดพลาดในกรณีใดก็ตาม หรือการมีมติยุบพรรคการเมืองที่สวนทางกับความรู้สึกของประชาชน ล้วนทำให้เกิดรัฐบาลรักษาการได้นานไปอีก
“แต่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง การเล่นเกมรัฐบาลรักษาการให้นานออกไปเรื่อยๆ ยิ่งทำเกิดความมืดมน อนธการยิ่งขึ้น และเสี่ยงต่อความรู้สึกต่อต้านจะเกิดขึ้นโดยไม่ได้นัดหมายกัน ผมขอเรียกร้องว่า ใครพยายามคิดเกมนี้อย่าได้กระทำเลย เลิกเถอะ มันสุ่มเสี่ยงกับหายนะครั้งใหญ่ของประเทศ”
ส่วนนายจตุพร กล่าวว่า ทักษิณ กำลังเดินไปสะดุดหินก้อนเดิมเป็นครั้งที่สาม โดยการสะดุดล้มมาแล้วถึงสองครั้งจากการถูดยึดอำนาจ ดังนั้น คนเราเมื่อเห็นสัญญาณต้องหยุดกระทำการ อย่างไรก็ตาม แม้เพื่อไทยจะได้เสียงข้างมากก็ตาม แต่เมื่อได้เป็นรัฐบาลต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะหลีกเลี่ยงการสะดุดก้อนหินครั้งที่สามได้พ้น
“ที่ผ่านมาเมื่อมีอำนาจก็นำวงศาคณาญาติ ไปยุ่ง มาควบคุม สั่งการในกระทรวงต่างๆ มากมาย จนถูกเรียกเป็นรัฐมนโท และครั้งนี้กำลังจะเกิดใหม่ในขณะนี้ จึงเป็นความเสี่ยงก่อให้เกิดวิกฤต ที่มีสภาวะมืดมน อนธการเป็นเงาไล่ตามอยู่เงียบๆ”
นายจตุพร ย้ำว่า การแบ่งเขตเลือกตั้งขัด รธน.หรือไม่นั้น ศาลปกครองนัดตัดสินวันที่ 7 เมษายน ถ้าศาลว่า กกต.ผิด ต้องจัดเขตเลือกตั้งใหม่ ซึ่งกระทบการเลือกตั้งแน่นอน และ กกต.จะทำความผิดติดต่อกันถึง 3 ครั้งติดต่อกัน จึงยากที่ประชาชนจะเชื่อถือ เชื่อมั่นในในการทำหน้าที่ดูแลเลือกตั้งได้อย่างสุจริตและเที่ยงธรรมได้ หาก กกต.ลาออก ย่อมทำให้วิกฤติความมืดมน อนธการมาเยื่อนเร็วขึ้น