ตั้งแต่วันพรุ่งนี้(1 เม.ย.) กรมสรรพสามิต จะเริ่มปรับขึ้นภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาลที่เข้าสู่ระยะที่สาม หลังจากที่รัฐบาลได้ชะลอการปรับขึ้นอัตราภาษีดังกล่าวเข้าสู่เฟสที่สามเป็นระยะเวลา 6 เดือนได้สิ้นสุดลง ดังนั้นอัตราภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มในเฟสที่สาม ซึ่งจะสูงขึ้นกว่าเฟสที่หนึ่งและสอง จะเริ่มใช้ตั้งแต่ 1 เม.ย.นี้เป็นต้นไป เมื่ออัตราภาษีความหวานได้ปรับเพิ่มขึ้นแล้ว หากผู้ประกอบการรายใด ไม่ปรับเปลี่ยนสูตรการผลิต โดยลดส่วนผสมจากน้ำตาลลง จะทำให้ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การดำเนินการจัดเก็บภาษีค่าความหวานดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อต้องการดูแลสุขภาพของไทยให้ห่างไกลจากโรคอ้วน เบาหวาน และความดัน

สำหรับภาษีความหวาน ระยะที่ 3 ที่เริ่มเก็บตั้งแต่ 1 เม.ย.66-31 มี.ค.68 มีอัตราดังนี้ ปริมาณน้ำตาล 6-8 กรัม คิดอัตราภาษี 0.3 บาทต่อลิตร ปริมาณน้ำตาล 8-10 กรัม คิดอัตราภาษี 1 บาทต่อลิตรปริมาณน้ำตาล 10-14 กรัม คิดอัตราภาษี 3 บาทต่อลิตร ปริมาณน้ำตาล 14-18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร ปริมาณน้ำตาล ตั้งแต่ 18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร

ทั้งนี้ภาษีความหวานจะมีการปรับขึ้นเป็นอัตราก้าวหน้าไปเรื่อยๆทุกๆ 2ปี ซึ่งระยะที่สามจะมีผล 1 เม.ย.นี้ ซึ่งถ้าผู้ประกอบการไม่ปรับตัวในการผลิตโดยลดความหวานลงจะเสียภาษีเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องดื่มที่มีสารความหวาน 10-14 มิลลิกรัมต่อลิตร จะเสียภาษีเพิ่มจาก 1 บาท เป็น 3 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตามขณะนี้ผู้ผลิตทยอยลดปริมาณน้ำตาลลงแล้ว ซึ่งจะไม่ทำให้มีภาระภาษีเพิ่มแต่อย่างใด โดยกรมสรรพสมิตมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสำหรับเครื่องดื่มเช่น น้ำอัดลมอยู่แล้ว แต่ได้เพิ่มภาษีความหวานสำหรับเครื่องดื่ม โดยคิดตามปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มนั้นๆ

สำหรับการขึ้นภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาลในเฟสนี้จะไม่กระทบให้ราคาเครื่องดื่มที่มีความหวาน หรือน้ำอัดลมราคาเพิ่มขึ้น จนกลายเป็นภาระต่อผู้บริโภค เนื่องจาก ขณะนี้ทางผู้ผลิตสินค้าได้ทยอยปรับตัว ลดส่วนผสมน้ำตาลลง หรือหันไปใช้น้ำตาลเทียม หรือสารให้ความหวานอื่นๆผสมกับน้ำตาลธรรมชาติ ซึ่งจะส่งผลกระทบด้านสุขภาพน้อยกว่า