วันที่ 31 มี.ค.66 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ระบุว่า...
เขากระโดง “ใครหน้าด้านกว่ากัน?”
ในที่สุดวันนี้ ศาลปกครองกลางออกคำตัดสิน
ตอกย้ำอีกครั้งว่า ที่เขากระโดงเป็น “ที่ดินของรถไฟ”
จะถามอีกกี่ครั้งก็เป็นที่ของรถไฟ ไม่รู้จะเอาช่องทางไหนช่วยกันอีกแล้ว
เหมือนคนสติไม่สมประกอบ ถามย้ำถามซ้ำ ไม่รู้แม้กระทั่งที่ดินบ้านตัวเองว่าเป็นของใครกันแน่
แต่ความเจ้าเล่ห์ของตระกูลนักการเมือง ยังนำเอาที่ดินไปให้อีกบริษัทเช่าต่อ ทำสนามฟุตบอล สนามแข่งรถ
ให้ดูมีความเสียหายเกิดขึ้นกับบุคคลที่ 3 ทั้งๆ ที่เช่ากันเองเป็นนิติกรรมอำพราง
ส่วนผู้ว่ารถไฟเป็นอดีตอัยการ รู้มาก แต่ไม่ยอมไปชี้แนวเขตที่ดินตัวเองเสียอย่างนั้น
มีความรู้กฎหมาย แต่คุณธรรมไม่รู้ซุกอยู่ไหน?
ที่เขากระโดงเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเจ้ากระทรวงคมนาคม ส่วนเจ้าของที่ดินดันเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชา
พุทโธ่ ก็บอกแล้วหากไม่กล้าก็ให้ลาออกเสีย อยู่ไปก็มีแต่จะโดน ม.157 ไปด้วย เพราะผมร้อง ป.ป.ช. ไว้
ผมทำงานให้ทั้งทวงถาม แฉผ่านการแถลงข่าว (ไม่ได้เก็บเงินค่าแถลงข่าวกับใครนะครับ)
บอกว่าเขากระโดง ตั้งแต่ ร.6 นำเอาที่ดินที่มีหินคุณภาพสูงเหมาะกับการใช้โรยทางรถไฟไปใช้
แต่ต่อมาที่ดินถูกอมไป เอาหินไปขายจนร่ำรวย และพัฒนานำไปสร้างสนามฟุตบอล สนามแข่งรถอีก
วันนี้ศาลปกครองสั่งให้กรมที่เดินเร่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่เขากระโดงทั้งหมดภายใน 15 วัน
แต่ต้องดูก่อนว่ามีคนออกอาการ “หน้าด้าน” อยู่อีกไหม คนเราหากมันหน้าด้านแล้ว ก็ยังหน้าด้านวันยันค่ำ
ตระกูลนี้เขาซี้กับสนธิ สื่อผู้จัดการ และเครือข่าย ไม่เล่นข่าวแบบนี้หรอกครับ
เขาชอบเกาะหลังผม ต้องรอจังหวะยันคนแก่ สื่อเฒ่าสติแตกซักที
สู้กันได้ ถึงไหนถึงกัน คนมันมีนิสัยหน้าด้านเหมือนกัน
ที่ดินซอย 10 ของผม ขยันเสียเหลือเกิน กะว่าจะล้มผมให้ได้
ระหว่างที่หลวงที่อมไป กับที่เอกชนอย่างผม
ผลประโยชน์ใด ถึงทำให้สื่อเฒ่าเล่าเรื่องนึง แต่เว้นอีกเรื่อง
หากดูใน “Discovery channel” พวกนี้คือ “ไฮยีน่า” ที่เล่นหมาหมู่ แต่ตัวผมเป็น “สิงห์โต” แลกกันได้เลย
ละครฉากนี้จะได้เห็นว่า ใครหน้าด้านกว่าใคร
สันดานเป็นยังไง
แล้วดูว่า ใครจะสติแตกก่อนกัน
ขอบคุณข้อมูล/ภาพ : เฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์