คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ/ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย

แทบไม่น่าเชื่อว่าเวลาเพียงแค่สิบกว่าปีเท่านั้นจะสามารถทำให้ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง”กลายเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ โดยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่แห่งพรรคคอมมิวนิสต์ และ ตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางในการประชุมสภาครั้งที่ 18 ของพรรคคอมมิวนิสต์ และต่อมาก็ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

ทั้งนี้ในการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 20 ปรากฏตามความคาดหมายในเรื่องที่ว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของจีนในสมัยที่สามต่อไปอีกห้าปี เท่ากับเป็นการตอกย้ำสถานะผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดของจีน นับตั้งแต่สมัยของ “ประธานเหมา เจ๋อตุง”ผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน!!!

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้จะเห็นได้ว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กวาดล้างเจ้าหน้าที่ไม่ซื่อสัตย์ มีเรื่องราวเกี่ยวกับการทุจริต หรือไม่ก็ขาดประสิทธิภาพในการทำงานไปแล้วกว่า 4.7 ล้านคน และเขาก็ยังสร้างฐานอำนาจของตนเองด้วยการบรรจุบรรดาพันธมิตรที่ไว้วางใจได้ให้เข้าไปนั่งแทนที่ตำแหน่งที่ว่างลง เพื่อให้เข้าไปรับผิดชอบบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลของพรรค อีกทั้งประธานาธิบดีสี จิ้นผิงยังควบคุมกองทัพอย่างเข้มงวดด้วยการปฏิรูปจัดสรรอย่างกว้างขวาง

การปราบปรามคอรัปชั่นของบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจและเหล่าผู้พิพากษาที่ทุจริตแบบล้างบางนับเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ทางด้านการพัฒนาประเทศอย่างจริงจังเลยทีเดียว

เมื่อปีค.ศ.2018 ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้สร้างอิทธิพลและเสริมสร้างบารมีให้กับตัวเองมากที่สุด เนื่องจากเขาได้สั่งให้มีการแก้ไขรัฐธรรรมนูญ เพื่อยกเลิกการจำกัดวาระของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เท่ากับเขาขจัดอุปสรรคในการดำรงตำแหน่งประธานาธิปดีของเขาที่สามารถจะนั่งอยู่ในตำแหน่งได้ตลอดชีวิต!!!

และจากการสร้างขุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เยี่ยงนี้นี่เอง ทำให้เขาได้รับความนิยมว่า เขาคือเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของโลกในปีค.ศ. 2018

ไม่แปลกแต่อย่างใดที่ขณะนี้จีนได้ผงาดขึ้นสู่การเป็นประเทศมหาอำนาจ โดยมีฐานเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันสองของโลก และจีนยังมีกองทัพที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก รวมถึงการที่จีนสามารถยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ มีผลทำให้จีนกำลังจะฟื้นตัวกลายเป็นศูนย์กลางระหว่างประเทศ ไปแล้วอีกด้วย

อย่างไรก็ตามจุดพลิกผันสำคัญในบทบาทนานาชาติก็คือ เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1971 ในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งประชาชาติได้รับรองมติที่ 2758 ว่าจะคืนสิทธิทั้งหมดของไต้หวันให้แก่สาธารณรัฐประชาชนจีน และยังรับรองว่ารัฐบาลจีนเป็นรัฐบาลด้วยความชอบธรรม และจีนยังเข้าร่วมเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ทำนองเดียวกันกับรัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และ สหรัฐอเมริกา

คราวนี้เราลองหันมาวิเคราะห์ประเด็นเกี่ยวกับไต้หวัน ที่กำลังกลายเป็นปัญหาวิกฤตที่ยังแก้ไม่ตกระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา จนอาจจะกลายเป็นชนวนร้ายเข้าไปโยงใยพัวพันกับนานาประเทศทั่วโลกอีกด้วย

แท้จริงแล้ว “หลักการจีนเดียว”นับว่ามีความชัดเจนอยู่ในตัวที่ ไต้หวันก็นับเป็นส่วนหนึ่งของจีนตั้งแต่สมัยโบราณเริ่มในศตวรรษที่ 12 ด้วยซ้ำไป

และถึงแม้ว่าไต้หวันจะมีอาณาบริเวณเป็นเกาะที่ปกครองตนเองที่อยู่ห่างจากชายฝั่งของแผ่นดินใหญ่จีน มีพื้นที่น้อยกว่าประเทศไทยถึง 14 เท่าตัว และมีประชากรเพียงแค่ 24 ล้านคน แต่ทว่าไต้หวันนับเป็นมหาอำนาจทางด้านเทคโนโลยี

ด้านการเมืองของไต้หวันนั้น นับว่าเป็นหน้าต่างของระบอบประชาธิปไตยที่เดินตามรูปแบบของการเมืองสหรัฐฯ

และถึงแม้ขณะนี้สหรัฐฯยังไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาสหรัฐฯและไต้หวันมีความสัมพันธ์ที่แน่น

แฟ้นทางด้านการค้าและด้านเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งต่อกัน โดยไต้หวันเป็นคู่ค้าอันดับแปดของสหรัฐฯ

อีกทั้งไต้หวันก็ยังเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดดเป็นอย่างสูง เมื่อปีกลายที่ผ่านมาไต้หวันสามารถมีผลผลิตด้านสินค้าและด้านการให้บริการที่มูลค่ากว่า 800 พันล้านดอลลาร์

เมื่อสองปีก่อนทั้งสหรัฐฯและไต้หวันต่างก็ลงนามในข้อตกลงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและยังร่วมมือกันทางด้านอุตุนิยมวิทยาวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ และด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข อีกด้วย

ในทางกลับกันเศรษฐกิจของสหรัฐฯในขณะนี้ แน่นอนว่า ยังต้องพึ่งพาทรัพยากร สินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งสินค้าที่ใช้ทางด้านการทหารจากจีนเป็นจำนวนมหาศาล โดยบรรดาผู้บริโภคชาวอเมริกันแทบทั้งหมดล้วนต้องพึ่งพาสินค้าที่นำเข้ามาจากจีนในราคาที่จับต้องได้ นับตั้งแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ เรื่อยไปจนถึงอุปกรณ์การแต่งกายตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า

สำหรับท่าทีของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เขาได้พยายามกล่าวย้ำๆซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า การรวมตัวระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับไต้หวันนั้น “จะต้องทำให้สำเร็จ” โดยเขาอ้างว่า จีนมีความพร้อมทั้งทางด้านทหาร เศรษฐกิจ และด้านอุตสาหกรรมและเหนือสิ่งอื่นใดพร้อมแล้วที่จะท้าทายต่อสหรัฐอเมริกา!!!

อนึ่งที่ผ่านมา “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ก็ออกมากล่าวย้ำๆหลายโอกาสด้วยเช่นกันว่า “สหรัฐฯจะปกป้องไต้หวัน ทำนองเดียวกับที่สหรัฐฯมีต่อญี่ปุ่นและเกาหลีใต้นั่นเอง”

และเมื่อครั้งตอนที่ประธานาธิบดีไบเดนไปเยือนกรุงโตเกียวเขาได้กล่าวยืนยันเอาไว้เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 2022 เขาได้กล่าวอีกว่า “จะปกป้องไต้หวัน สืบเนื่องมาจากจีนมีความโอหังและแสดงตัวว่ามีภัยด้านความคุกคามสูงขึ้นตามลำดับ”

นี่มิได้เป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแสดงทรรศนะเกี่ยวกับการผวากางปีกเข้าไปปกป้องไต้หวัน เพราะเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ.2021 หลังจากที่สหรัฐฯถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถาน ผู้นำของสหรัฐฯก็ได้ออกมาแถลงว่า “จะปกป้องไต้หวัน”

และจากการให้สัมภาษณ์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต่อสถานีโทรทัศน์ช่องซีบีเอส ในรายการ “60 Minutes” ซึ่งเป็นรายการยอดนิยม เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2022  ที่เขาได้กล่าวย้ำอีกครั้งว่า “กองกำลังสหรัฐฯจะปกป้องไต้หวัน ในกรณีที่ไต้หวันถูกจีนรุกราน” ซึ่งถือเป็นถ้อยแถลงที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่ผ่านๆมา!!!

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นหากเมื่อใดก็ตามที่สหรัฐฯประมาทเดินเกมพลาดขัดขาจนสะดุดต้องทำสงครามกับจีน ก็คงเป็นเรื่องราวที่ชาวอเมริกันต้องรับผลกระทบและเนื่องจากที่ผ่านมาคนอเมริกันยังไม่เคยส่งทหารออกไปสู้รบในระยะทางไกล อีกทั้งสหรัฐฯกำลังขาดความสามัคคีภายในประเทศ แต่ในทางกลับกันจีนที่มีอาณาเขตอยู่ใกล้ๆกับไต้หวันเพียงแค่ 160 กิโลเมตร จึงสามารถโจมตีได้ทั้งทางอากาศ ทางทะเล และทางไซเบอร์แบบสายฟ้าแลบภายในไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่สหรัฐฯและพันธมิตรจะเข้าแทรกแซงด้วยซ้ำไป ซึ่งอาจจะเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แน่หรือไม่แน่?ละครับ