วันที่ 29 มี.ค.66 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ระบุว่า...

สื่อสารมวลชน

หลังจากทำงานมาหลายสาขาอาชีพ เคยเป็นนักธุรกิจ ทำอาบอบนวด เป็นนักการเมือง เป็นนักโทษ เป็นสื่อ

จนท้ายสุดในวันนี้ผมกลายเป็น “นักเคลื่อนไหว” รณรงค์ต่อต้าน “กัญชา”

จุดตายของเรื่องนี้ง่ายๆ

จากประสบการณ์นักการตลาดการเมืองที่อยู่ในกระแสมามากกว่า 20 ปี อย่างผม คือ การสื่อสารกับมวลชน

การจะเรียกความสนใจจากประชาชนได้ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง และกระทบต่อความรู้สึกของเขามากที่สุด

หากไปบ้านนอกพูดเรื่องรถไฟฟ้า ชาวบ้านคงไม่สนใจ เพราะห่างไกลตัวเขา

แต่เรื่อง “ยาเสพติด” เกี่ยวพันถึงทุกคน ทุกครอบครัว จึงต้องเข้าใจว่า “จุดอ่อน” ของพรรคการเมืองในเรื่องนี้อยู่ตรงไหน?

และหมดโอกาสแก้เกม เพราะทำไปโดยไม่คิดถึงสังคมที่เกิดปัญหาตามมามากมาย

การรณรงค์ต่อต้านกัญชาของผมเหมือนการตอกตะปู ยิ่งตอกทุกวี่ทุกวัน ย่อมแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนยากที่จะถอนออก

กัญชา คือสิ่งที่ผมสื่อสารถึงมวลชน

และมวลชนตอบรับสิ่งที่ผมสื่อสารเป็นอย่างดี

กระแสจึงกระเพื่อมดั่งคลื่นเกยฝั่งไปจนถึงวันเลือกตั้ง

อยู่ที่ผมจะลากกระแสไปถึงหรือไม่

หากเห็นว่าสิ่งที่ผมทำเป็นประโยชน์ สื่อย่อมมีหน้าที่สะท้อนมุมมองให้สังคมได้เห็นเป็น “กระจกสองด้าน”

แต่ก็มีบางสื่ออย่าง “สื่อผู้เฒ่า” ที่กำลังล่มสลาย เพราะนำเสนออยู่ด้านเดียว ด้วยเหตุผลเดียว คือเรื่องกัญชา

จึงเป็นเรื่องที่สังคมต้องจับจ้องว่า การใช้สื่อของตัวเองเป็นเครื่องมือทำประโยชน์ให้ตัวเอง มีความเป็นกลางเพียงพอจะรับฟังไหม?

เมื่อสื่ออย่างผู้เฒ่าเคยเอาม็อบไปปิดสนามบิน

อ้างว่ามา “กู้ชาติ”

แต่จนถึงทุกวันนี้ ชาติก็ยังอยู่ที่เดิม

ไม่สามารถกู้อะไรได้ นอกจาก “กู้เงินไม่บอกผู้ถือหุ้น” แล้วถูกศาลตัดสิน คุก 20 ปี

เมื่อออกมาได้ก็ยังใช้สื่อเครือข่ายโจมตีเรื่องไม่เป็นเรื่อง ขยันเฉพาะเรื่องที่ขัดใจตัวเอง

ทำตัวเหมือนสื่อเอาแต่ใจ อยู่ดีๆ ก็เที่ยวไปชื่นชมคนโน้นคนนี้ พอเขาทำไม่ถูกใจก็แว้งกัดได้ทันที

คุณลักษณะแบบนี้ ถึงโดนยิงได้ 200 นัด

รู้ทุกเรื่อง แต่ถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่าใครสั่งยิง

เดี๋ยวนี้วงการสื่อเปลี่ยนไปมาก ทุกคนเป็นสื่อได้เอง

ส่วนสื่อที่หมกหมุ่นเอาแต่ไล่โจมตีคนอื่น มันตกยุคไปแล้ว

เพราะสังคมมันวิปริต คนอย่างผมถึงออกมา เพื่อจัดการกับคนที่คิดว่าไม่มีใครกล้าชน

อย่าคิดว่าคุณใหญ่อยู่คนเดียว

 

 

ขอบคุณข้อมูล/ภาพ : เฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์