กลายเป็นสีสันทางการเมืองกับการที่ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว. สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โผซบกอดเอว “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในวันเกิด 69 ปี 21 มีนาคม 2566 หลังประชุม ครม. ต่อหน้านักข่าวที่ยุให้ทั้งคู่แสดงมิตรภาพต่อกัน
หลังจากที่เกิดระยะห่าง จนกลายเป็นความห่างเหิน ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ไปทำงานเต็มตัวในนามประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์ พรรครวมไทยสร้างชาติ
โดยก่อนหน้านั้น อนุทิน ได้กอด พล.อ.ประยุทธ์ เพื่ออวยพรวันเกิด หลังจากที่ “บิ๊กป้อม” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นำ ครม.อวยพรวันเกิด การแสดงออกของ อนุทิน กำลังถูกจับจ้องว่า เป็นการแสดงออก เพื่อหวังผลใดหรือไม่
เพราะก่อนหน้านั้น อนุทิน กับ ศักดิ์สยาม และ ชาดา ไทยเศรษฐ์ แกนนำพรรค ไปพบ พล.อ.ประวิตร ทานข้าวกลางวัน ด้วยกัน อย่างชื่นมื่น จนถูกตีความว่า เป็นการส่งสัญญาณ การจับขั้วรัฐบาล เป็นขั้วที่ 3 หรือไม่ จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ด้วยท่าที มึนตึง ไม่สนใจว่า พล.อ.ประวิตร กับ อนุทิน พบคุยกันเรื่องอะไร และไม่คิดจะถาม เพราะผมไม่ใช่คนจุกจิกแบบนั้น
นำมาซึ่งกระแสขั้วที่ 3 พรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.ประวิตร จับมือ กับ พรรคภูมิใจไทย ของ อนุทิน เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จึงมีการคำนวณตัวเลขประมาณการจำนวนส.ส.ที่ ทั้งพลังประชารัฐ และ ภูมิใจไทย จะได้จากการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นและคำนวณส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาลเดิม เอาไว้ด้วย พล.อ.ประวิตร ประมาณการว่า พรรคภูมิใจไทย จะได้ 70 ส.ส ส่วน พปชร. ได้ มากกว่า 50-70 ส.ส. พร้อมคำนวณ ของพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ว่าจะพอ จัดตั้งรัฐบาลได้ ราว 200 เสียง และ ต้องอาศัย 250 ส.ว. จำนวนเท่าใด
พร้อมๆกันนี้ ยังถูกจับตามองว่า หากจำเป็นที่ พล.อ.ประวิตร พรรคพลังประชารัฐ จะต้องจับมือกับพรรคเพื่อไทย ตามกระแส บิ๊กดีล แล้ว พรรคภูมิใจไทยจะร่วมด้วยหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าในพรรคร่วมรัฐบาลของ พล.อ.ประวิตร จะไม่มีพรรครวมไทยสร้างชาติ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ร่วมด้วย
การกอดของ อนุทิน จึงมีนัยทางการเมือง ประกอบกับ เกิดความกังขาสงสัยต่อความเคลื่อนไหวของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ออกมาโจมตีพรรคภูมิใจไทยหลังมีการเปิดทำเนียบรัฐบาลรับเรื่องร้องเรียนจาก ชูวิทย์ โดยมี “เสธ.หิ” หิมาลัย ผิวพรรณ มือทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ในพรรครทสช. เป็นคนจัดคิวตามมาด้วย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ถูกศาลสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ จากคดีโอนหุ้น ที่อาจทำให้แกนนำพรรคภูมิใจไทย ตั้งข้อสงสัยได้
แต่ที่ซับซ้อนกว่านั้นคือ วันรุ่งขึ้น 22 มีนาคม อนุทิน ถือพวงมาลัยขึ้นไปพบ พล.อ.ประยุทธ์โดยเปิดเผย ในภายหลังว่าไปอวยพรวันเกิดย้อนหลัง แต่ทว่าใช้เวลาแค่ 10 นาทีก็ลงมาแล้ว ก่อนที่จะออกจากทำเนียบรัฐบาลมุ่งหน้ามูลนิธิป่ารอยต่อฯ ของพล.อ.ประวิตร เพื่อร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับ พล.อ.ประวิตร และ แกนนำพรรคพลังประชารัฐ จริงทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่า อนุทิน มาแผนไหนเช้าเข้าหา “บิ๊กตู่” กลางวันไปหา “บิ๊กป้อม”
โดยที่ภาพ นายอนุทิน มอบพวงมาลัยให้พล.อ.ประยุทธ์ ถูกถอดรหัสว่า ไม่เหมือนกับมาอวยพรวันเกิดย้อนหลัง แต่ราวกับเป็นการมาขอขมาลาโทษ แม้จะคุยกันแค่ 10 นาที แต่อาจเป็น การมาเคลียร์เรื่องจุดยืนหลังการเลือกตั้ง และจุดยืนที่มีต่อพรรคพลังประชารัฐ ของ พล.อ.ประวิตร ที่อาจจะเป็นแค่การแสดงละครทางการเมือง หรือ การเหยียบเรือสองแคม หาทางหนีทีไล่ เพราะ อนุทิน มีความยำเกรง และ เกรงใจ พล.อ.ประยุทธ์ มาตลอดเพราะรู้ดีว่ามีกองหนุน ที่สำคัญ และมี พรรค ส.ว. 250 คน อยู่ในมือ
ทั้งๆที่การเปิดภาพ อนุทินพบปะทานข้าวกับ พล.อ.ประวิตร แฝงไปด้วยการส่งสัญญาณถึง พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงสัญญาณจาก พล.อ.ประวิตร ถึง พล.อ.ประยุทธ์ด้วย ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกตัวทันทีที่ อนุทินกอดว่าปกติแล้ว ไม่ชอบให้ใครกอด แต่ภาพ อนุทิน กอดพล.อ.ประยุทธ์ กำลังถูกเปรียบเทียบ กับภาพ เนวิน ชิดชอบ “พี่ใหญ่” ของ อนุทิน กอด ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนตามมาด้วยประโยคทองที่ว่า “มันจบแล้วครับนาย” เพราะ อนุทิน น้องรักของ เนวิน ก็ชอบเรียก พล.อ.ประยุทธ์ว่า “นาย”เช่นกัน
การกอด 2566 ของ อนุทิน จึงแฝงนัยทางการเมืองไม่น้อย และต้องรอเฉลยหลังการเลือกตั้งว่าอนุทิน เลือกใครระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ หรือ พล.อ.ประวิตร เพราะหาก อนุทิน จับมือกับ พล.อ.ประยุทธ์ และพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็จะเกิดคำถามว่า อนุทิน จะยอมให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะคาดกันว่าพรรคภูมิใจไทยน่าจะได้ ส.ส.มากกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติของ พล.อ.ประยุทธ์ แบบทิ้งห่าง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ก็มี 250 ส..ว. อยู่ในมือ และ บางส่วนจะเป็นสายตรงของ พล.อ.ประวิตร ก็ตาม
และหากเป็น อนุทิน ยอมให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ก่อน 2 ปี เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นได้แค่ปี 2568 เท่านั้น แต่มีหลักประกันใดที่จะยืนยันว่าอนุทินจะได้ เป็นนายกฯต่ออีก 2 ปี อีกทั้งแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ดูจะไม่ค่อยสนิทสนมแนบแน่นกับอนุทินเท่าใดนัก แต่ในทางกลับกัน พล.อ.ประวิตร กลับให้คำมั่นว่า พรรคใครได้ ส.ส.มากกว่า ก็เป็นนายกฯไป ส่วนพรรคที่ได้ 25-30-40 ส.ส. จะมาเอา จะไม่ให้ นายกฯ ที่เสมือนเป็นการตีกันพรรครวมไทยสร้างชาติ และ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแฟร์เพลย์ ตามสไตล์ของ พล.อ.ประวิตร ที่ อนุทินพอใจและมีความชัดเจน จนถึงขั้นที่อนุทินพูดทีเล่นทีจริง ว่าพร้อมที่จะให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรีก่อนเลยทีเดียว
ดังนั้นอนุทินจะมาจับมือกับ พล.อ.ประวิตร และยอมให้พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ ก่อน 2ปี แล้ว ลุกจากเก้าอี้นายกฯ เพื่อเปิดทางให้ อนุทิน นั่งต่อ แม้ พล.อ.ประวิตร จะไม่ได้มีข้อจำกัดทางการเมือง ในเรื่องระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ตาม เพราะถึงอย่างไร อนุทิน และพรรคภูมิใจไทย ก็จะยังคงเป็นพรรคที่ใครอยากจะเป็นนายกฯ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ต้องมีพรรคภูมิใจไทยด้วย หรือแม้แต่สูตรสุดท้ายคือ พรรคร่วมรัฐบาลเดิม โดยพล.อ.ประวิตร หันกลับมาจับมือกับพล.อ.ประยุทธ์ เพื่อต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ต้องไม่ลืมว่า พล.อ.ประวิตร เคยลั่นวาจาทั้งวงใน และผ่านสื่อว่าหากพรรครวมไทยสร้างชาติของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ส.ส. น้อยกว่าพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร ก็จะไม่ยอมให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ซี่งท้ายที่สุดก็ต้องรอดูจำนวนส.ส ที่แต่ละพรรคได้หลังการเลือกตั้ง ที่จะเป็นตัวกำหนดสูตรในการจัดตั้งรัฐบาล ที่คาดกันว่าอาจมีสิ่งที่มองด้วยตาเปล่า ไม่เห็นแต่รับรู้ได้ว่ามีอยู่จริง
ในขณะที่ พล.อ.ประวิตร เองก็มั่นใจในดวงชะตา ที่มีหมอดูหลายสำนัก และพระเกจิอาจารย์ทำนายทายทักว่า จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ก็มั่นใจในกองหนุนที่จะช่วยเคลียร์ทางทุกอย่างให้ได้กลับมาเป็น นายกรัฐมนตรีอีกสมัย ส่วน อนุทินก็พร้อมที่จะหลีกทางให้ พล.อ.ประวิตรได้เป็นนายกรัฐมนตรีก่อน แล้วตนเองนั่งเก้าอี้ รองนายกฯควบ มท.1 มหาดไทย รอไปพลาง รอให้เป็นไปตาม สัญญาลูกผู้ชาย
ดังนั้นประตูสู้ของ พล.อ.ประยุทธ์ทางเดียวที่จะกลับมาเป็นนายกฯในสมัยที่ 3 ได้โดยสง่างามและไม่น่าเกลียด คือต้องได้รับการเลือกตั้ง ส.ส.เข้ามาให้ได้มากที่สุด ไม่น้อยกว่า 60 ส.ส. แต่ท้ายที่สุดแล้วอาจไม่มีวันนั้นเพราะอาจมีการยุบพรรคการเมือง เกิดขึ้นก่อนการจัดตั้งรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยหรือแม้แต่พรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.ประวิตรเองก็ตาม