ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
"การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ คือสถานะทางจิตวิญญาณที่มีค่ายิ่งต่อการมีชีวิตอยู่ มันคือกลไกแห่งศรัทธาอันซ้อนซับ ที่พลิกผันต่อโอกาสในทุกๆโอกาสที่ไหวเคลื่อน...การตระหนักรู้ในวิถีของเจตจำนงในแต่ละวิถี จึงคือผลลัพธ์อันลึกล้ำในการเฝ้าสังเกตเห็นของชีวิตในแต่ละชีวิต ...คือ ความหวัง ความทายท้า หรือแม้กระทั่ง ภาวะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ที่ชีวิตไม่อาจเยียวยาและป้องกันได้.."
สาระอันจริงแท้เบื้องต้น..คือนัยสำคัญอันมีค่าชวนสะกิดใจจากหนังสือ อันทรงพลังต่อการตระหนักรู้ในเหลี่ยมมุมของชีวิต ที่จะโยงใยถึงชัยชนะอันสงบงาม..ระหว่างทางของการมีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน..
"Together"...หนังสือแห่งการขุดค้นชีวิตผ่านข้อสังเกตที่ว่า...เมื่อความอ้างว้างเปลี่ยวเหงา ซ่อนตัวเนียนแนบอยู่เบื้องหลังปัญหามากมายในชีวิตผู้คนและการดิ้นรนของสังคม โดยระบุถึงอารมณ์แห่งภาวการณ์ของชีวิตในแต่ละบทตอนออกมาว่า.."ความเหงาคือนักตบตาตัวยง"
งานเขียนอันมีค่าของนายแพทย์ "วิเวก เอช. เมอร์ธี"..ผู้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ใหญ่แห่งสหรัฐอเมริกา ผู้เรียกร้องให้ทั้งประเทศได้แสดงความสนใจกับปัญหาสาธารณสุขร้ายแรงด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า การแพร่ระบาดของสารโอปิออยด์ สุขภาพและสุขภาวะทางอารมณ์ ในฐานะผู้นำหน่วยทหารที่ให้บริการด้านสาธสาธารณสุขของสหรัฐฯ
"นี่คือ หนังสือที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ของสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ผลกระทบซ่อนเร้นที่ความเหงามีต่อสุขภาพของเรา และพลังทางสังคมของชุมชน...ในฐานะแพทย์คนหนึ่ง ผมรู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึง ประเด็นเหล่านี้ เนื่องจากความสูญเสีย ทั้งทางกายภาพและทางอารมณ์ ที่สูงขึ้นเรื่อยๆจากการขาดความสัมพันธ์ทางสังคม ทุกหนทุกแห่งที่ผมเฝ้าสังเกต ในช่วง20 ..30ปีมานี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมมคาดไม่ถึง คือบททดสอบชนิดที่ไม่เคย ปรากฎมาก่อน ซึ่งผู้คนทั่วโลก ต้องเผชิญในเวลาที่หนังสือเล่มนี้ใกล้จะจัดพิมพ์"
"วิเวก" ประทับใจในบทเรียนมากมาย ที่เขาเรียนรู้ระหว่างการเขียนหนังสือเล่มนี้ ซึ่งสอดรับโดยตรงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาคิดว่าการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมให้แน่นแฟ้น จะทำให้เราได้ยืนหยัดความแข็งแกร่งให้กับชุมชนของเราและปกป้องกันและกันได้เป็นอย่างดี เขาใช้แนวทาง 4 ขั้นตอน เพื่อช่วยให้เราได้ยืนหยัด ฝ่าฟันวิกฤตการณ์ต่างๆในชีวิตไปได้ อีกทั้งยังจะช่วยเหลือเยียวยาสังคมในอนาคตของเราได้ด้วย...
1.คือวิธีการยอมรับความโดดเดี่ยวขั้นแรก ในการสร้างสายสัมพันธ์กับผู้อื่น และ การสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับตัวเอง...ความโดดเดี่ยวจะทำให้เราทำเช่นนั้นได้ มันเอื้อต่อการทำให้เราสำรวจความคิดสร้างสรรค์ของเราให้เชื่อมโยงเข้ากับธรรมชาติ...ทั้งนี้ ศิลปะ ดนตรี การสวดมนต์ การภาวนา ตลอดจน การใช้เวลากลางแจ้ง จะช่วยทำให้เกิด ความเบิกบานและความสบายใจ เมื่ออยู่ตามลำพัง
2.การช่วยเหลือและยอมรับความช่วยเหลือ...รวมทั้งการทำประโยชน์ ถือเป็น ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์รูปแบบหนึ่งที่เตือนใจเราทั้งการให้และการรับ เป็นการช่วยเสริมสร้างความผูกพันทางสังคมของเราให้แน่นแฟ้นขึ้น การไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของเพื่อนบ้าน การขอคำแนะนำ หรือแม้แต่การยิ้มให้คนแปลกหน้าที่อยู่ห่างออกไปหกฟุต..สิ่งต่างเหล่านี้จะช่วยทำให้เราเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น..
3.จงใส่ใจในกันและกัน.โดยต้องขจัดความเบี่ยงเบนทั้งหลาย ขณะที่มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น..ลืมเรื่องการทำอะไรหลายอย่างพร้อมๆกันไปก่อน แล้วมอบความใส่ใจเต็มที่เป็นของขวัญแกผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วย และถ้าเป็นไปได้..ให้สบตาและรับฟังจากพวกเขาจริงๆ..
4.ประการสุดท้าย..ควรต้องใช้เวลาในแต่ละวันกับคนที่เรารัก โดยไม่จำกัดแค่คนใกล้ชิดร่วมบ้านกับคุณ ให้เข้าหาคนสำคัญในชีวิตของคุณคนอื่นๆ ทางโทรศัพท์หรือที่ดีกว่านั้น คือการคุย ผ่านระบบประชุมทางไกล หรือวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ด้วย จึงจะช่วยให้คุณได้ยินเสียงและเห็นหน้าเห็นตากัน...สละเวลาอย่างน้อยวันละ 15 นาที เพื่อสานสัมพันธ์กับคนที่คุณใส่ใจ มากที่สุด..
"ผมไม่ได้เติบโตมาท่ามกลางสายตาสาธารณชนหรือมนุษย์การเมือง ผมเป็นเด็กแห่งวงการแพทย์ ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ช่วงวัยเด็กขลุกอยู่ในคลินิกของพ่อแม่ พ่อทำหน้าที่แพทย์ ส่วนแม่ทำหน้าที่บริหารจัดการส่วนอื่นทั้งหมด พี่สาวกับผมใช้เวลาส่วนมากในช่วงบ่าย หลังโรงเรียนเลิกช่วยงานด้านเอกสาร จัดเก็บแฟ้มคนไข้ ทักทายคนไข้ และ ทำความสะอาด..
สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่ผมพบแรงบันดาลใจ ในการก้าวสู่วงการแพทย์...ผมเห็นคนเข้ามาด้วยท่าทางวิตกกังวล และ กลับออกไปอย่างสงบลง..."
นี่เป็นอุดมคติทางการแพทย์แบบที่ "วิเวก" อยากจะทำ...มันคือแนวทางแห่งการเป็นผู้นำ แบบที่เขามุ่งมั่นที่จะเป็น ด้วยเหตุนี้ ในช่วงเวลาที่เชาเริ่มดำรงตำแหน่ง เขาจึงตัดสินใจรับฟัง ก่อนจะกำหนดวาระการตัดสินใจบางอย่างต่อการทำงานและการวางแผนงาน
นั่นหมายถึงการต้องใช้เวลา และหมายถึง การไปปรากฏตัวในสถานที่ที่มีคนอเมริกันอยู่ "เราไปคุยกับผู้คนดูว่า พวกเขาต้องการอะไร?...การพูดคุยเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดแนวทางการทำงานของผม ระหว่างดำรงตำแหน่งและหลังจากนั้น..มันผลักดันให้ผมจัดทำรายงานของนายแพทย์ใหญ่สหรัฐฯเป็นครั้งแรก ด้วยวิกฤตปัญหายาเสพติด และ จัดทำโครงการรณรงค์ระดับชาติ เพื่อแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของสารโอปิออยด์...และเป็นเพราะครูเหล่านี้ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมมจัดทำรายงานของรัฐบาลกลางที่ว่าด้วยการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนขึ้นในปี2016เป็นครั้งแรก"
เมื่อเราผสานเจตจำนงแห่งการเกื้อกูลเพื่อกันและกัน เราจะได้สัมผัสความงามของกระบวนการชีวิตที่สอดรับกันเป็นนัยอันทรงคุณค่าของสรรพสิ่ง มันคือรากฐานของการใคร่ครวญทางความคิด และเเก่นแกนล้ำลึกในเชิงปฏิบัติ การอยู่ด้วยกัน การใช้ชีวิตอยู่ด้วยการผสานหัวใจสู่กันและกันคือ ผลรวมของโลกอันมีความหมายที่สุกสว่าง ไม่มีการทำลายตัวตนของกันและกัน ไม่มีการหมิ่นแคลนสถานะในห้วงสำนึกของกันและกัน เอกภาพย่อมเกิดขึ้นได้และที่สุดแล้ว การกลายเป็นมโนทัศน์อันสูงสุดของชีวิตก็จะห่อหุ้มทุกสิ่งทุกอย่างไปตราบจนนิรันดร์..
"อรวรรณ คูหเจริญ นาวายุทธ และ สัญญา นาวายุทธ " แปลหนังสือเล่มนี้ออกมาอย่างเปี่ยมพลัง ได้คุณค่า และ เป็นปัญญาญาณที่ชวนติดตามยิ่ง..มันคือการถ่ายทอดส่วนขยายบทสนทนาระดับชาติของวงการแพทย์ที่อยู่ในบริบทแห่งการรับรู้ที่จำกัดและรับรู้กันในวงแคบๆให้เปิดสู่การขยายกว้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในมิติของยา แพทย์ โรงพยาบาล รวมทั้งสภาวะความไม่ใส่ใจในเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์ ที่เป็นฐานรากหลักแห่งการค้ำจุนตัวตนแห่งชีวิตของเรา...
"Together" คือความลึกชึ้งของสาระแห่งความเป็นหนังสือที่ควรประจักษ์ในโลกของวันนี้อย่างแท้จริง..
"ความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุด ที่เราเผชิญอยู่ในทุกวันนี้ คือเราจะสร้างชีวิตและโลกที่มีผู้คนเป็นศูนย์กลางได้อย่างไร.?...ขณะที่ความท้าทายมากมายต่างเกิดจาก ความเหงาที่ล้ำลึกของปัจเจกบุคคล การขาดความสัมพันธ์ ..ซึ่งการเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดดังกล่าว มีพระลังเยียวยาเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น ที่ทรงพลังเท่ากับความสัมพันธ์แท้จริง ..อันเกิดจากความรัก.."