คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” จากเสี่ยอ่าง และอดีตนักการเมืองชื่อดัง ที่กำลังเป็นที่จับตา และเกาะติดทุกความเคลื่อนไหว ทั้งวงการการเมือง ประชาชน และโลกโซเชียล หลังสร้างชื่อเสียง ในฐานะเป็นผู้เปิดเผยและเร่งรัดการทำงานของกระบวนการยุติธรรมใน "คดีทุนจีนสีเทา" และคดีอื่นๆ ที่กำลังเป็นที่สนใจทั้งโลกออนไลน์ และโซเชียล

วันนี้ “สยามรัฐ ออนไลน์” ขอเปิดประวัติ ที่มา ที่ไป โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

“ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์” เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2504 ที่ฮ่องกง แต่เติบโตในย่านเยาวราช เป็นบุตรคนสุดท้อง ในจำนวนพี่น้อง 8 คน เป็นชาย 5 คน หญิง 3 คน ของนายเจริญ และนางจำเนียร กมลวิศิษฎ์ บิดามารดาเป็นคนจีน ครอบครัวที่ทำธุรกิจนำเข้าและผลิตเสื้อผ้ายีนส์ยี่ห้อฮาร่า โดยปัจจุบันธุรกิจนี้ดูแลโดยเลิศชัย กมลวิศิษฎ์ ผู้เป็นพี่ชาย

“ชูวิทย์” จบชั้นประถมศึกษาจาก โรงเรียนสหพาณิชย์ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของตึกชาญอิสสระ) มัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา และมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยซานดิเอโกแต่ไม่สำเร็จการศึกษา และหลังจากเข้าสู่วงการเมือง พ.ศ. 2548 โดนศาลรัฐธรรมนูญปลดออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพราะว่าสังกัดพรรคชาติไทยไม่ถึง 90 วัน จึงมาศึกษาต่อในหลักสูตร รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำเร็จการศึกษาและเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร รัฐศาสตรมหาบัณฑิต เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2551

ธุรกิจ

หลังจบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา ชูวิทย์หันมาทำธุรกิจของตัวเองเช่น สร้างหมู่บ้านจัดสรรและเปิดอาบอบนวดชื่อ วิคทอเรีย ซีเคร็ท และขยายกิจการจนเป็นเจ้าของอาบอบนวด 6 แห่ง ในเครือเดวิสกรุ๊ป และก่อตั้งมูลนิธิต้นตระกูลกมลวิศิษฎ์ ให้การสนับสนุนก่อสร้างป้อมที่พักเจ้าหน้าที่ตำรวจตามแยกไฟแดง ต่อมาได้เกิดความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ออกมาเปิดเผยเรื่องส่วย เป็นเรื่องที่เกรียวกราว จนได้รับฉายาว่า เสี่ยอ่าง หรือ จอมแฉ จนเกิดผลกระทบกับธุรกิจอาบอบนวด ถูกคดีค้าประเวณีเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี ในสถานอาบอบนวด แต่ศาลสั่งยกฟ้องเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ

นอกจากนั้น ชูวิทย์ เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ภาติฌาน จำกัด, บริษัท ซี.ดี แลนด์ จำกัด, เจ้าของ บริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด, กรรมการบริษัทสุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์ และ ประธานบริษัท เดวิสกรุ๊ป ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด

“ชูวิทย์” เป็นเจ้าของโรงแรม The Davis Bangkok Hotel ที่ตั้งอยู่บนถนน สุขุมวิท 24 มีพื้นที่ขนาด 7 ไร่ ความพิเศษของพื้นที่ตรงนี้คือมีหน้ากว้างต่างจากที่ดินต่างรอบบริเวณ โรงแรมขนาดใหญ่แบ่งเป็น Main Wing และ Corner Wing อีกทั้งยังแบ่งเป็นส่วนบ้านไทย และมีร้านอาหารและสปาในส่วนของ avenue โรงแรม The Davis Bangkok Hotel โดยเฉพาะที่ดินคาดว่าจะมีมูลค่าหลายพันล้านบาท เพราะสุขุมวิท ซอย 24 เป็นซอยที่ติดอันดับราคาที่ดินที่แพงที่สุดในเมืองไทย

“ชูวิทย์” ยังเป็นเจ้าของที่ดินขนาด 7 ไร่ อันเป็นที่ตั้งของ "สวนชูวิทย์" ตั้งอยู่บริเวณระหว่างถนนสุขุมวิท ซอย 8 และ ซอย 10 โดยที่ดินดังกล่าวเคยเกิดกรณีการขับไล่เป็นข่าวใหญ่เมื่อปี 2546 เป็นการรื้อทำลายร้านค้าบาร์เบียร์จำนวนกว่าร้อยร้านค้า ปัจจุบันชูวิทย์เปิดเป็นสวนให้ประชาชนทั่วไปเข้าใช้บริการ ที่ดินแปลงดังกล่าวมีมูลค่ามากกว่า 5,500 ล้านบาท และเป็นที่ดินแปลงใหญ่แปลงเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในบริเวณถนนสุขุมวิทตอนต้น

“ชูวิทย์” เป็นที่รู้จักในกลางปี พ.ศ. 2546 เมื่อปรากฏเป็นข่าวว่าได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ขณะมีคดีรื้อบาร์เบียร์ที่ถนนสุขุมวิท ซึ่งเป็นคดีที่มีคู่ความเป็นตำรวจนครบาล ไม่กี่วันต่อมาชูวิทย์ก็ปรากฏตัวข้างถนนย่านชานเมืองแห่งหนึ่งด้วยสภาพอิดโรย มีการนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อร่างกายเริ่มฟื้นแล้ว ชูวิทย์ได้แฉว่าถูกตำรวจกลุ่มหนึ่งอุ้มตัวไป

จากนั้น “ชูวิทย์” ก็ปรากฏเป็นข่าวเป็นระยะ เมื่อเจ้าตัวเริ่มทำการแฉถึงพฤติกรรมการทุจริตต่าง ๆ ของตำรวจ เช่น การรีดไถ การรับส่วย เป็นต้น จึงทำให้เป็นจุดสนใจของสังคมในระยะนั้น โดยบุคลิกของชูวิทย์ขณะนั้นเป็นไปอย่างดุดัน ดุเดือด จริงจัง แต่หลังจากนั้นแล้ว ชูวิทย์เริ่มมีท่าทีที่เปลี่ยนไป กลายเป็นบุคคลที่สนุกสนานเฮฮา ผ่อนคลายมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งการแฉถึงเรื่องราวการทุจริตต่าง ๆ ในสังคม ทำให้เป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนเป็นจำนวนมาก และจากชื่อเสียงที่โด่งดังนี้ทำให้ในปีเดียวกันนั้น ได้มีผู้สร้างภาพยนตร์แผ่นที่มีเนื้อหาดัดแปลงมาจากชีวประวัติของชูวิทย์เอง ใช้ชื่อว่า เจ้าพ่ออ่างทองคำ โดยมี จรัล งามดี มารับบทเป็น ชูวิช ที่แปลงชื่อมาจากชื่อของชูวิทย์

จากนั้น “ชูวิทย์” ก็ได้ก้าวมาสู่วงการเมือง โดยขายหุ้นในกิจการอาบอบนวดทั้งหมด แล้วลงสมัคร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ด้วยเบอร์ 15 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ซึ่งตรงกับวันเกิดของตัวเอง แม้ไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ได้คะแนนเสียงกว่าสามแสนคะแนนและได้คะแนนมาเป็นลำดับที่ 3 ต่อมาชูวิทย์นำพรรคต้นตระกูลไทย ที่ตนเองเป็นผู้ก่อตั้ง เข้าร่วมกับพรรคชาติไทยและรับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคชาติไทย

“ชูวิทย์” ลงสมัครเลือกตั้งทั่วไปปี พ.ศ. 2548 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทย แต่ต่อมาถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นสมาชิกพรรคชาติไทยไม่ครบ 90 วัน จึงพ้นจากความเป็น ส.ส. ต่อมาในปี พ.ศ. 2549 ชูวิทย์ได้ลาออกจากพรรคชาติไทย เพื่อลงสมัครสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร แต่ก็ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพิกถอนสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา โดยระบุว่า ยังไม่พ้นจากสถานะภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครบกำหนด 1 ปี ก่อนที่จะลงสมัครสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย

หลังจากเข้าสู่พรรคชาติไทยแล้ว ชื่อเสียงของชูวิทย์เริ่มหายเงียบไป แต่ปรากฏเป็นข่าวเป็นระยะๆ เช่น เป็นผู้หิ้วข้าวผัดและโอเลี้ยงไปเยี่ยม 3 อดีตกรรมการการเลือกตั้งที่ถูกศาลพิพากษาจำคุก ในคดีทุจริตการเลือกตั้ง หรือ การออกป้ายหาเสียงแบบแปลกๆ แหวกแนวไม่เหมือนใคร เป็นต้น

ในระยะแรกๆ ที่เข้าร่วมกับพรรคชาติไทย ชูวิทย์เคยมีข่าวขัดแย้งกับ “จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์” ส.ส.หญิงของพรรคชาติไทย โดยมีข่าวว่า “จณิสตา” ไม่ยอมรับในตัว “ชูวิทย์” ที่เคยประกอบธุรกิจอาบอบนวดมาก่อน จนได้รับฉายาว่า นักการเมืองฝีปากกล้า

ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 “ชูวิทย์” ประกาศว่าจะไม่ขอลงเลือกตั้งในปลายปีไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม หลังได้รับการจัดให้เป็นตัวแทนพรรค สมัครรับเลือกตั้งแบบรายชื่อเป็นลำดับที่ 2 ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยยกลำดับที่ 1 ให้กับพลเอก อัครเดช ศศิประภา อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และเชื่อว่าตนเองจะไม่ได้รับการเลือก รวมทั้งได้โจมตีการบริหารพรรคของ “บรรหาร ศิลปะอาชา” หัวหน้าพรรคด้วย หลังการเลือกตั้ง เมื่อพรรคชาติไทยจากเดิมที่อยู่คนละข้างกับพรรคพลังประชาชนได้แสดงท่าทีจะไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับทางพรรคพลังประชาชน ชูวิทย์ก็ได้โจมตีบรรหารอย่างรุนแรงขึ้น และได้ลาออกจากพรรค

ต่อมา วันที่ 12 ธันวาคม 2555 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีที่ “บรรหาร ศิลปะอาชา” อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ฟ้องร้องชูวิทย์ข้อหาหมิ่นประมาท จากเหตุการณ์ที่พรรคชาติไทยเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน และชูวิทย์ ซึ่งขณะนั้นเป็นรองหัวหน้าพรรคชาติไทย ตั้งโต๊ะแถลงข่าววิจารณ์บรรหารว่า เคยให้สัมภาษณ์ก่อนการเลือกตั้งว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน แต่กลับเข้าร่วม และว่าบรรหารไร้สัจจะ ไร้จุดยืน นอกจากนี้ ยังชูวิทย์ยังติดป้ายประจานบรรหารทั่วกรุงเทพมหานคร โดยศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยวิจารณ์การทำงานและความประพฤติของโจทก์ในฐานะบุคคลสาธารณะ เป็นการติชมโดยสุจริต มิได้หาประโยชน์ส่วนตน ซึ่งก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้วเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2552

ในปี พ.ศ. 2551 “ชูวิทย์” ซึ่งได้ลาออกจากพรรคชาติไทยแล้ว ก็มาลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ชูวิทย์ได้เบอร์ 8 หลังจากนั้นชูวิทย์ได้ดำเนินการหาเสียง โดยชูนโยบายการมองเห็นปัญหา และเน้นตรวจสอบการทำงานของ “อภิรักษ์ โกษะโยธิน” อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เช่น การก่อสร้างศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ที่เขตดินแดง การติดตามคดีการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง เป็นต้น

“ชูวิทย์” ได้จดทะเบียนตั้งพรรคการเมือง เมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551 ชื่อ “พรรคสู้เพื่อไทย” มีสัญลักษณ์รูปกำปั้น มีสโลแกนว่า “แตกต่างแต่ไม่แตกแยก”

ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับรองพรรครักประเทศไทย และรับรองสถานะชูวิทย์ให้เป็นหัวหน้าพรรครักประเทศไทย มีสโลแกนว่า “ฉันรักคุณ”

โดยในการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2554 “ชูวิทย์” ได้แถลงข่าวเปิดตัวพรรครักประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศว่าจะเป็นฝ่ายค้านเพื่อตรวจสอบรัฐบาล

ขณะหาเสียง “ชูวิทย์” ใช้สุนัขคู่ใจชื่อ "โมโต โมโต้" พันธุ์บูลเทร์เรียร์ เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงความซื่อสัตย์ ซึ่ง “ชูวิทย์” บอกว่า สุนัขซื่อสัตย์กว่านักการเมือง เพราะไม่เคยคอรัปชั่น รวมทั้งใช้โปสเตอร์ที่มีสีสัน และความหมายสะท้อนถึงการเมืองในขณะนั้น จนได้รับคำชมจากสื่อมวลชน และนักวิจารณ์ชาวต่างชาติ ผลการเลือกตั้งพรรครักประเทศไทยได้คะแนนเสียงเกือบ 1 ล้านคะแนน ส่งผลให้ได้ ส.ส. เข้าสภาถึง 4 คน ในวันแถลงนโยบายของรัฐบาล เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 “ชูวิทย์”ได้นำคลิปวีดีโอแสดงถึงบ่อนการพนันขนาดใหญ่บริเวณถนนรัชดาภิเษกมาเปิดกลางห้องประชุมสภา ส่งผลให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปล่อยปละละเลย มีผลทำให้ พลตำรวจเอกวิเชียร พจน์โพธิ์ศรี หลุดออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

การทำงานของ “ชูวิทย์” ในสภาในฐานะฝ่ายค้าน อย่างโดดเด่น รวมทั้งรับหน้าที่รองประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 แสดงจุดยืนในการเป็นฝ่ายค้าน เปิดเผยข้อมูล บ่อนการพนัน สถานอบายมุข อันมีผลกระทบต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างมาก จนกระทั่ง ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องออกมาตอบโต้ และมีวาทะพิพาทกันในสภา จนทำให้ทั้งคู่ได้รับฉายาว่าเป็น "คู่กัดแห่งปี" ประจำปี 2555 จากสื่อมวลชน แม้ว่าทั้งคู่จะเคยมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก่อน

การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2555 “ชูวิทย์” ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึงโครงการก่อสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งมีระยะเวลาเหลืออีกเพียงเดือนเศษจะครบกำหนดสิ้นสุดสัญญา แต่ปรากฏว่าการก่อสร้างยังไม่คืบหน้าเป็นจำนวนมาก ทั้งผู้รับเหมาทิ้งงาน สร้างได้แค่ฐานรากหรือตอม่อ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในแต่ละโรงพัก ส่งผลให้ต่อมารัฐบาลพรรคเพื่อไทยนำโครงการดังกล่าวเป็นประเด็นการเมืองกล่าวหารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นผู้เซ็นสัญญาริเริ่มโครงการนี้เมื่อปี 2553 และร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสอบสวน

ชูวิทย์ สมรสครั้งที่ 1 กับเคต ดับเบิลยู จอห์นสัน (Kate W Johnson) หญิงชาวแคนาดา-อเมริกัน และมีบุตรด้วยกันสองคน คือ ลีนา ดับเบิลยู จอห์นสัน และ ลีแอน ดับเบิลยู จอห์นสัน สมรสครั้งที่ 2 กับนางงามตา กมลวิศิษฎ์ (สุขนิรันดร์) ปัจจุบันแยกทางกันแล้ว มี บุตร-ธิดา 4 คน คือ ต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ (ต้น) จบการศึกษาจาก โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก และ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง พลทหาร เติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ (เติม) สังกัดกรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ จบการศึกษาจาก โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก และ คณะบริหารการโรงแรม จาก มหาวิทยาลัยศิลปากร (ภาคอินเตอร์) ปัจจุบันได้แต่งงานกับนักแสดงสาว หทัยภัทร สมรรถวิทยาเวช เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2562

ตระการตา กมลวิศิษฏ์ (ต๊ะ) จบการศึกษาจาก Millfiled school ประเทศอังกฤษ และ คณะเศรษฐศาสตร์ University of San Francisco ที่สหรัฐอเมริกา และกำลังศึกษาต่อระดับปริญญาโท คณะ Consutruction Economics & Management ที่ University College London ประเทศอังกฤษ ต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ (ต่อ) จบการศึกษาจาก โรงเรียนเซนต์คาเบรียล และ Millfiled school ประเทศอังกฤษ และ จบปริญญาตรี University of Arizona ประเทศสหรัฐอเมริกา