ธปท.ขยายอายุมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจต่อไปอีก 1 ปี ให้ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้รับความช่วยเหลือต่อเนื่อง เสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ แต่ไม่ต่ออายุพักทรัพย์ พักหนี้
น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่ ธปท. ได้ออกมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ตั้งแต่เดือน เม.ย.64 และติดตามผลการดำเนินมาตรการมาอย่างต่อเนื่องนั้น แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม ฟื้นตัวเข้าใกล้ระดับก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้วแต่ยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะในภาคบริการบางสาขาที่ยังมีกิจกรรมในระดับต่ำ ดังนั้น ธปท.ร่วมกับกระทรวงการคลัง โดยความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี จึงเห็นควรดำเนินการดังนี้ 1.ขยายระยะเวลามาตรการสินเชื่อฟื้นฟู รวมถึงสินเชื่อเพื่อการปรับตัว ต่อไปอีก 1 ปี จนถึงวันที่ 9 เม.ย.67 เพื่อให้ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ได้รับความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง รวมถึงเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจที่ต้องการปรับตัว
2.ไม่ขยายอายุโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ เนื่องจากเห็นว่ากลุ่มผู้ประกอบการที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันกับสถาบันการเงิน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว และโรงแรม เริ่มฟื้นตัวจากการเปิดประเทศแล้ว อย่างไรก็ดี ลูกหนี้ยังสามารถเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินได้
3.โอนวงเงินคงเหลือของโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ หลังสิ้นสุดมาตรการ มารวมไว้เป็นวงเงินภายใต้มาตรการสินเชื่อฟื้นฟูต่อไป ซึ่งจะทราบวงเงินคงเหลือดังกล่าวในวันที่ 9 เม.ย.66
โดย ธปท.หวังว่าการขยายเวลาให้กับมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และสินเชื่อเพื่อการปรับตัวในครั้งนี้ จะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบให้ได้รับสภาพคล่อง และความช่วยเหลือเพิ่มเติม ตลอดจนเอื้อต่อการเพิ่มศักยภาพของธุรกิจให้สอดรับกับ new normal ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้ต่อเนื่อง
สำหรับความคืบหน้าล่าสุด ณ วันที่ 13 มี.ค.66 ธปท.ได้อนุมัติมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู (รวมสินเชื่อเพื่อการปรับตัว) ให้แก่ลูกหนี้แล้วจำนวน 61,073 ราย รวมทั้งสิ้น 222,324 ล้านบาท คิดเป็นเกือบ 90% ของวงเงินที่ตั้งไว้ ซึ่งมีการกระจายตัวดีทั้งระดับขนาด ประเภทธุรกิจ และภูมิภาค และยังมีวงเงินคงเหลือ 27,676 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้อนุมัติสินเชื่อโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ให้แก่ลูกหนี้ 476 ราย รวมยอดสินทรัพย์ที่ตีโอนทั้งสิ้น 72,057 ล้านบาท คิดเป็น 72% ของวงเงินที่ตั้งไว้ และยังมีวงเงินคงเหลือ 27,943 ล้านบาท โดยทั้ง 2 มาตรการจะครบกำหนด 2 ปี ในวันที่ 9 เม.ย.66