แพทย์ ชี้ ปมเหตุทำให้ภูมิแพ้ผิวหนังแย่ลง เกิดจากการขัดผิว เข้าสปา อบซาวน่า พร้อมแนะ วิธีรักษาโรคภูมิแพ้จมูก ให้ใช้น้ำเกลือเข้มข้น 3% ล้างเมือกในจมูก หากอาการยังไม่ดีขึ้น ให้รีบพบหมอเพื่อทำการรักษาทันที
ปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่ขณะนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยมีสาเหตุหลักของการเกิดฝุ่น PM2.5 มาจาก การเผาในที่โล่งแจ้งในภาคเกษตรและป่าไม้ ฝุ่นพิษในพื้นที่จากยานยนต์และโรงงานอุตสาหกรรมระบายออกได้ยาก
การอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตนวัตกรรมการจัดการสุขภาพยุคดิจิทัล หรือ HIDA รุ่นที่ 2 ได้ตระหนักถึงพิษภัยของฝุ่นละออง PM2.5ที่จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงก่อให้เกิดผลเสียกับอวัยวะในร่างกาย ได้จัดให้มีการบรรยายวิชาการในหัวข้อที่เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ และ มลพิษทางอากาศกับโรคทางเดินหายใจ เพื่อให้ผู้เข้าอบรมนำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ให้คนครอบครัวห่างไกลโรค และ มีสุขภาพที่แข็งแรง

ศาสตราจารย์นายแพทย์เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวบรรยายในหัวข้อ “ภาวะภูมิแพ้ แพ้ภูมิ” ว่า ภูมิแพ้ คือ ภาวะที่ร่างกายแพ้ต้อสิ่งแวดล้อม แพ้ต่อสิ่งที่สัมผัส เฉลี่ยพบประชากรเป็นภูมิแพ้ได้ 1ใน 3 คนทั่วโลก ทั้งนี้ โรคภูมิแพ้ พบได้ 7 โรค เช่น ภูมิแพ้ทางจมูก ภูมิแพ้ทางหลอดลม ภูมิแพ้ผิวหนัง ภูมิแพ้ทางตา แพ้อาหาร แพ้ยา และแพ้แบบช็อค จากสถิติตัวเลขโรคภูมิแพ้ ทั่วโลก 400 ล้านคนพบเป็นภูมิแพ้จมูก และอีก 300 ล้านคน เป็นโรคหอบหืด โดยในส่วนของประเทศไทย ประชากร 10-15 ล้านคน พบเป็นภูมิแพ้จมูก โดย 20%ของผู้ใหญ่เป็นภูมิแพ้ทางจมูก 40%ของเด็กเป็นภูมิแพ้ทางจมูก และ 10%เป็นโรคหืด
ศาสตราจารย์นายแพทย์เกียรติ กล่าวต่อว่า โรคภูมิแพ้จมูก ทำให้เกิดอาการหลากหลาย อาการหนัก มีอาการเรื้อรัง โดยมีปัจจัยมาจาก พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และ ไลฟ์สไตล์ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดโรคภูมิแพ้ เมื่อไลฟ์สไตล์เปลี่ยนและสิ่งแวดล้อมแย่ ทำให้มนุษย์เป็นโรคภูมิแพ้เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้จะเห็นได้จาก ประเทศที่เจริญอย่างเช่นในฝั่งประเทศยุโรปจะมีประชากรเป็นโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เกิดจากไลฟ์สไตล์เป็นตัวกำหนด เช่น การนอนดึก ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ออกกำลังกายน้อยลง อาบน้ำร้อนทุกวัน และฝุ่น PM 2.5

สัญญาณบ่งชี้ว่าเป็นภูมิแพ้ที่รบกวนคุณภาพชีวิต มี 10 อาการที่พบบ่อย มีการวินิจฉัยผิดพลาดบ่อย และใช้วิธีรักษาตามอาการ เช่น ไอเรื้อรัง ปวดศีรษะเรื้อรัง กระแอมเรื้อรัง หายใจลำบาก หายใจไม่อิ่ม เวียนศีรษะ กรนนอนไม่หลับ คันหัวตา ขอบตาดำ ลมหายใจเหม็น ริมฝีปากแห้งแตก
ทั้งนี้ อาการไอ เป็นอาการที่พบบ่อยมาก เกิดจากจมูกตัน น้ำมูกเยอะ มีเสมหะ ต้องแก้ไขด้วยการใช้น้ำเกลือล้างจมูก อาการหายใจไม่สะดวก หายใจไม่อิ่ม เกิดจากรูจมูกตันเนื่องจากโรคภูมิแพ้ ภาวะหายใจลำบาก จุกหายใจไม่สะดวกจากภูมิแพ้จมูก ในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจทำให้เป็นโรคซึมเศร้า หรือ เสียการงานการเรียนได้ อาการปวดศีรษะเรื้อรัง ปวดคล้ายไมเกรน หรือ ปวดไซนัสเกิดจากภูมิแพ้จมูก อาการปากแตกปากแห้ง เกิดจากหายใจทางปาก หรือ นอนอ้าปาก ทำให้ปากแห้งหรือชอบเม้มเลียปากโดยไม่รู้ตัว อาการลมในท้องเยอะ จุกเสียดแน่นท้องเกิดจากภูมิแพ้จมูก ระบายลมบ่อย เกิดจากนอนอ้าปากคอจมูกตัน อาการคันหัวตาและมีผื่นที่เปลือกตาเกิดจากภูมิแพ้จมูก หากไม่รักษาจะเป็นภูมิแพ้ลามขึ้นตา มักพบบ่อยในเด็ก และ อาการกลิ่นปากแรง เพราะจมูกบวม ทำให้เมือกระเหยไม่ได้ อาการขอบตาดำคล้ำ เกิดจากจมูกบวมเลือดคั่ง หากทิ้งไว้นานจะเกิดรอยดำที่บริเวณขอบตา

วิธีการทอดสอบแบบง่ายจมูกตันหรือไม่ ให้หายใจออกจนสุดและปิดจมูกทีละข้าง พร้อมกับการปิดปากและให้หายใจทางจมูกทีละข้างมากๆ อย่างน้อยข้างละ 20 วินาที จมูกข้างที่ตันจะหายใจลำบาก ภูมิแพ้กับกระแอม ไอ เสียงแหบ เสมหะเหนียวติดคอ ไม่ควรใช้ยาพ่นจมูกโล่งต่อเนื่อง เพราะ ไม่ได้เป็นยารักษาโรคแค่ทำให้จมูกโล่งชั่วคราว หากใช้ต่อเนื่องเกินหนึ่งอาทิตย์หรือนานกว่านั้นจะทำให้เกิดภาวะการดื้อยา และปัญหาที่ตามมา คือ จมูกจะบวมมากขึ้น คัดแน่นบ่อยขึ้นจนเหมือนติดยานัด ต้องพ่นยาวันละหลายรอบ จะทำให้อาการภูมิแพ้จมูกไม่ดีขึ้นและอาการจะแย่ลง ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดให้ใช้ น้ำเกลือเข้มข้น 3% ล้างเมือกในจมูก ลดจมูกบวม และทำให้จมูกสะอาด ควรล้างจมูกช่วงเช้า และ ก่อนนอน
นอกจากนี้ โรคภูมิแพ้อื่นๆ เช่น โรคหืด มีอาการเหนื่อยหอบ แน่นหน้าอก มักจะมีอาการไอเป็นชุดและเสมหะค่อนข้างเหนียว มีเสียงวี๊ดดังมาจากทรวงอก โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง เด็กเล็กจะพบได้ในแก้ม ข้อศอก เข่า ส่วนผู้ใหญ่พบมากที่ มือ ข้อพับ และเท้า

ทั้งนี้ วงจรที่ทำให้ภูมิแพ้ผิวหนังแย่ลง คือ ผิวแห้ง คัน เกา ผื่นแพ้ ส่วนสารที่ก่อให้ภูมิแพ้ เช่น อาบน้ำอุ่น น้ำร้อน อบซาว์น่า สปา สบู่หอม สบู่ยา สิ่งระคายเคือง เครื่องสำอาง การขัดผิวพอกผิวทำให้เซลล์อักเสบ และ ฝุ่น จากสถิติพบว่า คนไทยแพ้ไรฝุ่น 20% ฝุ่นแมลงสาบ 50% แมว 30%
และ แพ้อาหาร ทั่วโลก 200-250 ล้านคนมีภาวะแพ้อาหาร พบบ่อยในเด็ก 5-8% ส่วนผู้ใหญ่ 1-2% อาหารที่คนไทยพบบ่อย เช่น นม ไข่ และ แป้งสาลี อาการมักเกิดภายใน 30 นาที ผู้ใหญ่จะแพ้กุ้ง ส่วนเด็กจะแพ้นม หากมีข้อสงสัยแพ้อาหาร ใช้วิธีทดสอบทางผิวหนัง ด้วยการสะกิด แต่ห้ามทดสอบในรายที่แพ้แบบช็อค และ ใช้วิธีตรวจเลือดหาภูมิแพ้ชนิด IgE แอนติบอดี้ ที่สำคัญไม่ควรหลงเชื่อการตรวจเลือดตามโฆษณา คือ การตรวจเลือดหา IgE ต่ออาหารไม่มีประโยชน์และทำให้ตีความผิดว่าแพ้อาหารมากมายทั้งๆที่ไม่ได้แพ้
วิธีเอาชนะภูมิแพ้ ควรดูแลสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ให้ปลอดโปร่งโล่ง ไม่มีพรม ห้ามมีควันธูป ควันบุหรี่ และต้องหมั่นดูแลสุขภาพร่วมด้วยและทำอย่างสม่ำเสมอ เช่น หมั่นออกกำลังกาย และ ไม่นอนดึก ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างไรก็ตาม หากอาการภูมิแพ้ไม่ดีขึ้น เช่น มีอาการไอมากทานยาไม่ดีขึ้น กรนมากนอนไม่อิ่ม กลางวันง่วงไม่สดชื่น เสมหะเหลือเขียวเกิน 7 วัน จมูกขัดแน่นประจำอยู่ข้างเดียว ไม่มีสลับข้างปากแห้ง ปากแตก อักเสบบ่อยๆ มีอาการหอบหืดร่วมด้วย แนะนำควรพบแพทย์เพื่อรักษาภูมิแพ้ สำหรับคำแนะนำ ให้ห่างไกลโรคภูมิแพ้ คือ ปรับสิ่งแวดล้อม ช่วงกลางคืนไม่ควรเปิดหน้าต่างนอน อยู่บ้านให้เปิดเครื่องปรับอากาศ ที่สำคัญ ควรปรับไลฟ์สไตล์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หากมีอาการควรรีบรักษาแต่เนิ่นๆไม่ควรชะล่าใจปล่อยทิ้งไว้ เพราะจะส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิต

แพทย์หญิงเปี่ยมลาภ แสงสายัณห์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิด้านเวชกรรม สถาบันโรคทรวงอกอายุรแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจ กล่าวบรรยายในหัวข้อ “มลพิษทางอากาศกับโรคทางเดินหายใจ” ว่า มลพิษในอากาศมีหลายแบบ เช่น โอโซน เซาเฟอร์ ไนโตรเจน และ PM เกิดจากความเข้มข้นของความผิดปกติในอากาศซึ่งจะส่งผลกระทบกับอวัยวะในร่างกาย โดยเฉพาะ ปอด
ทั้งนี้ ความแตกต่างระหว่าง PM 2.5 และ PM 10 โดย PM 10 เกิดจาก ควัน ฝุ่นโรงงานอุตสาหกรรม การระเบิดดิน หิน และ พัดพาในอากาศ ส่วน PM 2.5 เกิดจากการเผาป่า ควันเสียท่อรถยนต์ หลอมโลหะหนัก เนื่องจาก ฝุ่น PM 2.5 เป็นฝุ่นขนาดเล็ก สามารถทะลุทะลวงได้ลึกกว่าปอด เข้าไปถึงถุงลม ไหลเวียนไปถึงกระแสเลือด กระจายไปตามอวัยวะต่างๆ มีความเสี่ยงทำให้เกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เมื่อ PM 2.5 เข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปกระตุ้นอนุมูลอิสระ ทำให้อวัยวะในร่างกายเกิดการอักเสบ อาการที่เกิดจาก PM 2.5 เช่น เคืองตา ไอ มีเสมหะ จาม น้ำมูก เหนื่อยหอบมีการกำเริบของโรคพื้นฐาน เช่น โรคปอด หอบหืด มีผลระยะยาวมีโอกาสเสียชีวิตได้เร็วขึ้น เช่น โรคมะเร็ง

แพทย์หญิงเปี่ยมลาภ กล่าวว่า อันตรายของ PM 2.5 มีอันตรายตั้งแต่วันแรกที่สัมผัสไปจนถึง 7 วัน ส่วนแนวทางป้องกันตนเอง ต้องสวมแมสควรใช้ N95 ที่มีวาล์วระบายลมออกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง ใช้ชีวิตอยู่ในบ้าน เปิดเครื่องฟอกอากาศในบ้านเพื่อให้เกิดอากาศหมุนเวียนเปลี่ยนอากาศ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอโดยให้ออกกำลังกายในร่ม และ ดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อขับของเสียออกทางปัสสาวะ.