นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า วิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐขยายวงจากธนาคาร SVB Bank สู่ธนาคารกลางรายอื่นๆ เช่น ธนาคาร Signature Bank, ธนาคาร First Republic Bank และธนาคารขนาดใหญ่ในยุโรป อย่างธนาคารเครดิตสวิส ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวธนาคารยูบีเอส UBS Bank เข้าเจรจาเพื่อซื้อกิจการกลุ่มการเงินเครดิตสวิส Credit Suisse Financial ทั้งหมดหรือบางส่วน โดยคาดว่าการเจรจาน่าจะใช้เวลานาน และ UBS Bank อาจไม่ซื้อหากไม่ได้ราคาที่ถูกมากพอ

โดยธุรกรรมนี้หากเกิดขึ้นก็จะเหมือนกับกรณีที่ JP Morgan เข้าซื้อกิจการ Bear Stearns เมื่อวิกฤตสถาบันการเงินโลก 2008 ขณะที่ ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา Citigroup, Bank of America, Well Fargo, JPMorgan Chase, Morgan Stanley และ Goldman Sachs ลงขันกันตั้งกองทุนปล่อยกู้มูลค่า 7 หมื่นล้านดอลลาร์ให้กับธนาคาร First Republic เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินโดยรวม

อย่างไรก็ตาม การควบรวมกิจการและธนาคารขนาดใหญ่อัดฉีดช่วยธนาคารกลางขนาดกลางไม่เพียงพอต่อการหยุดยั้งความตื่นตระหนกและการขาดความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงินและนักลงทุน ตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกาและยุโรปยังคงดิ่งลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นสถาบันการเงิน คาดอาจเกิดผลกระทบโดมิโนลามระบบการเงินโลกได้ มีความจำเป็นที่ทางการต้องเข้าแทรกแซงระบบการเงินเพิ่มเติมด้วยการทำให้กระบวนการควบรวมและการซื้อกิจการเกิดเร็วขึ้น รวมทั้งธนาคารกลางต้องปล่อยสภาพคล่องให้กับธนาคารที่มีปัญหาและกำลังจะมีปัญหา

ทั้งนี้หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ธนาคารกลางควรพิจารณาหยุดการขึ้นดอกเบี้ย ปล่อยสภาพคล่องเพิ่มขึ้นในระบบและอาจกลับไปใช้ QE อีกครั้งหนึ่ง แม้นวิกฤตสถาบันการเงินขนาดกลางในสหรัฐฯ และสถาบันการเงินขนาดใหญ่ อย่างธนาคารเครดิตสวิสในยุโรปขณะนี้จะกระทบภาคการเงินไทยจำกัดแต่ส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปชะลอตัวลง กดดันให้ภาคส่งออกไทยชะลอตัวเพิ่มเติมได้ ต้นทุนการใช้ระบบสถาบันการเงินโลกเพิ่มขึ้น บริษัทเทคสตาร์อัพของจีนได้รับผลกระทบจากการล้มละลายของ SVB Bank หุ้นของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ธนาคารเครดิตสวิสถืออยู่ประมาณ 20,000 กว่าล้านบาทอาจมีการทยอยเทขายออกมาบ้าง ทำให้ราคาหุ้นเหล่านี้ปรับตัวลงมาได้อีกแต่ความเสี่ยงจากการเทขายยังจำกัด เพราะเป็นการถือในลักษณะเป็นคัสโตเดียน (Custodian) ดูแลเก็บรักษาแทนลูกค้า กองทุนส่วนบุคคล กลุ่มทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยมีหุ้น 3 บริษัทที่ธนาคารเครดิตสวิส ถืออยู่ในสัดส่วนสูง 3 อันดับแรก คือ หุ้น บมจ ไมเนอร์ (MINT), บมจ ศรีสวัสดิ์ (SAWAD) บมจ สตาร์ค คอร์เปอเรชัน (STARK) นอกนั้นเป็นการถือครองในลักษณะคัสโคเดียนในสัดส่วนไม่สูงนัก เช่น หุ้น TSE, KSL, BTS, TTA, หุ้น TMT เป็นต้น

สำหรับการค้ำประกันผู้ฝากเงิน 100% ไม่เฉพาะกลุ่มคนที่มีเงินต่ำกว่า 250,000 ดอลลาร์ เป็นเรื่องที่มีความจำเป็นต่อการหยุดยั้งการตื่นตระหนกและแห่ถอนเงินของผู้ที่มีเงินฝากเกิน 250,000 บาท ธนาคารขนาดกลางที่ล้มขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น SVB Bank หรือ มีปัญหาสภาพคล่องอย่าง First Republic Bank ล้วนมีฐานจากผู้ฝากเงินผู้มีรายได้สูง การเพิ่มการค้ำประกันให้ครอบคลุมทั้งหมดและการผ่อนคลายทางการเงินระยะสั้นเพิ่มเติมแม้นเป็นมาตรการที่จำเป็นในระยะสั้น แต่จะสร้างภาวะเสี่ยงภัยทางศีลธรรม Moral Hazard เพิ่มในระบบการเงินในระยะยาว อาจทำให้กลไกตลาดในระบบการเงินด้อยประสิทธิภาพลง การทำธุรกรรมทางการเงิน การลงทุน ที่ผู้ให้บริการ (สถาบันการเงิน) และผู้ใช้บริการ (ลูกค้าสถาบันการเงิน) มีข้อมูลไม่เท่ากันหรือมีความไม่สมมาตรของข้อมูล (Asymmetric Information) อยู่แล้ว ก็จะมีการใช้ข้อมูลเพื่อเอาเปรียบกันเพิ่มขึ้นในอนาคต การสร้างความได้เปรียบในลักษณะ Adverse Selection จากความไม่สมมาตรของข้อมูลจะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบในการทำธุรกรรมตลอดเวลา ผู้ฝากเงิน นักลงทุน การลงทุนของธนาคารก็จะมีความระมัดระวังน้อยลง เพราะมีความคาดหวังหากเกิดปัญหาขึ้นก็จะมีรัฐบาล หรือธนคารกลาง เข้ามาประกันความเสี่ยงให้ทั้งหมด ก็จะทำให้คนเหล่านี้ทำอะไรเสี่ยงๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงๆ หากไม่มีปัญหาก็รับผลตอบแทนสูงๆ ไป หากมีปัญหาก็จะนำเงินสาธารณะมาอุ้มเอาไว้ทุกครั้ง วิกฤตการเงินก็จะเกิดขึ้นได้อีกเป็นระยะๆ ตามวงรอบของพฤติกรรมเหล่านี้ พฤติกรรม Moral Hazard นี้จะทำลายประสิทธิภาพของกลไกตลาด เพิ่มต้นทุนให้กับทุกคนที่ใช้บริการระบบการเงินในระยะยาว เพิ่มต้นทุนภาษีให้กับทุกคนโดยเฉพาะผู้ฝากเงิน นักลงทุน รวมทั้งผู้บริหารสถาบันการเงินที่รอบคอบระมัดระวังในการทำธุรกรรมต่างๆ

โดยข้อแนะนำในการให้เพิ่มสภาพคล่องในระบบ หรืออาจกลับไปใช้ QE หยุดการขึ้นดอกเบี้ยนั้น อาจทำให้เกิด Moral Hazard ในระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจหรือไม่ ก็ต้องชี้แจงว่า จะไม่เกิดขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ที่นักลงทุน ผู้ปล่อยสินเชื่อ ผู้ต้องการสินเชื่อ ยังวิตกกังวลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ การไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจึงไม่มีผลต่อการกู้เงินเกินตัว บริโภคเกินตัว ลงทุนเกินตัว หรือเกิดการปล่อยสินเชื่อหรือลงทุนอย่างไม่ระมัดระวังและไม่บริหารเสี่ยง ภาวะดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ผู้คนยังมีความมั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจและระบบสถาบันการเงินในระดับต่ำและไม่เต็มร้อย