ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานเงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมาทยอยแข็งค่าเกือบตลอดสัปดาห์ และทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 1 เดือนที่ 34.13 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงปลายสัปดาห์ ทั้งนี้ เงินบาทแข็งขึ้นสอดคล้องกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ เผชิญแรงขาย และทยอยอ่อนค่าลงตามทิศทางบอนด์ยีลด์ระยะสั้นของสหรัฐ หลังจากที่ปัญหาของธนาคารบางแห่งในสหรัฐ ทำให้ตลาดประเมินว่า เฟดอาจไม่ส่งสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินได้มากนักในการประชุม FOMC เดือน มี.ค. นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินบาทยังสอดคล้องกับจังหวะการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก และสถานะเข้าซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ
เงินบาทอ่อนค่าลงช่วงสั้นๆ ในระหว่างสัปดาห์ หลังข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐ หนุนการคาดการณ์ว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยประมาณ 0.25% ในการประชุม 21-22 มี.ค. นี้ เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นอีกครั้งในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ตามทิศทางสินทรัพย์เสี่ยง ท่ามกลางสัญญาณที่สะท้อนว่ามีการเข้าช่วยเหลือด้านสภาพคล่องในแบงก์ที่ประสบปัญหาทั้งในสหรัฐ และสวิตเซอร์แลนด์ ประกอบกับเงินบาทน่าจะมีแรงหนุนตามปัจจัยทางเทคนิคด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงติดตามปัญหาแบงก์ในสหรัฐ และสวิตเซอร์แลนด์อย่างต่อเนื่อง
โดยในวันศุกร์ที่ 17 มี.ค. 2566 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 34.21 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับ 35.07 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (10 มี.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 13-17 มี.ค. นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 9,735 ล้านบาท แต่มีสถานะเป็น Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทยต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สามที่ 3,692 ล้านบาท (ซื้อสุทธิ 7,103 ล้านบาท ขณะที่มีตราสารหนี้หมดอายุ 3,411 ล้านบาท)
สัปดาห์ถัดไป (20-24 มี.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 33.80-34.80 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมนโยบายการเงิน dot plot และตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐ ของเฟด ผลการประชุม BOE อัตราดอกเบี้ย LPR ของจีน ประเด็นปัญหาของแบงก์ในสหรัฐ และประเทศอื่นๆ สถานการณ์เงินลงทุนของต่างชาติและสกุลเงินเอเชีย ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือน ก.พ. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามตัวเลขการส่งออกเดือน ก.พ. ของไทย ข้อมูล PMI (เบื้องต้น)สำหรับเดือน มี.ค. ของสหรัฐ ยูโรโซน และอังกฤษ รวมถึงตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.พ. อังกฤษ
ขณะที่หุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมาร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือนที่ 1,518.66 จุดในช่วงต้นสัปดาห์ เนื่องจากกังวลปัญหาของภาคธนาคารสหรัฐฯ หลังธนาคารบางแห่งประสบปัญหาและถูกสั่งปิดกิจการ โดยปัจจัยดังกล่าวกดดันบรรยากาศการลงทุนในภาพรวม หุ้นไทยย่อตัวลงช่วงสั้นๆอีกครั้งระหว่างสัปดาห์ หลังมีรายงานข่าวเชิงลบเกี่ยวกับสถาบันการเงินรายใหญ่แห่งหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ดี หุ้นไทยทยอยฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์ตามปัจจัยทางเทคนิค ประกอบกับมีข่าวเกี่ยวกับการเข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินที่มีปัญหา ซึ่งช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนลงบางส่วน
สัปดาห์ที่ 20-24 มี.ค.2566 คาดแนวรับที่ 1,535 และ 1,515 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,575 และ 1,585 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมเฟด (21-22 มี.ค.) ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือนมี.ค. ของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยูโรโซน อัตราดอกเบี้ย LPR เดือนมี.ค. ของจีน การประชุม BOE ตลอดจนประเด็นการเมืองภายในประเทศ