ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า...ในทศวรรษแห่งทางสองแพร่งเบื้องหน้า เราต้องการบทสนทนา ที่เป็นแก่นสารมากขึ้นและการพูดที่ไร้สาระน้อยลง เราจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการใหม่ๆอันเป็นแนวทางที่ยืดหยุ่นตรงไปตรงมา และสามารถนำไปประพฤติปฏิบัติในการจัดการกับคำถามที่ซับซ้อน แต่มีความสำคัญและสร้างผลลัพธ์ที่เที่ยงแท้ มีเหตุผลอันลึกซึ้ง เป็นกระบวนการขับเคลื่อนที่เป็นพลวัตและทรงพลังที่จะกระตุ้นให้เกิดการเยียวยา จนได้สัมผัสหัวใจแห่งความหมายของมนุษย์ และนัยแห่งความเป็นมนุษย์ ด้วยการให้คุณค่าและรวบรวมสรรพสำเนียงอันหลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน...”
บริบทแห่งจุดเริ่มต้นในคำกล่าวที่เป็นดุจแรงบันดาลใจและความเร้าใจนี้ ถือเป็นนิยามแห่งคุณค่า ที่ถูกมอบให้กับหนังสือเล่มหนึ่งที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ อันเป็นดั่งของขวัญเพื่อโลกใบนี้ ของขวัญที่อยู่ในกระบวนการอันงดงาม วิเศษสุด เรียบง่าย ไม่ซับซ้อนในการสร้างการสนทนาที่มีคุณภาพ ในประเด็นปัญหาสำคัญ ณ ห้วงยามของความแตกแยกที่สุดช่วงหนึ่งของชาวเรา
‘เดอะ เวิลด์ คาเฟ่’ สภากาแฟ สนทนา ก่อพลังปัญญา สร้างอนาคต...จากการเขียนของ ‘ฆวนนิต้า บราวน์’ ( The World Café : Shaping our futures Through Conversations that Matter by Juanita Brown) ซึ่งเขียนร่วมกับ ‘เดวิด ไอแซคส์’ และแปลเป็นภาษาไทยด้วยรายละเอียดแห่งความเข้าใจมีอารมณ์ร่วม และเต็มไปด้วยความประณีตบรรจงโดย ‘เจริญเกียรติ ธนสุขถาวร’ และ ‘กฤษศรี สามะพุทธิ’ …อะไรคือ ‘เวิลด์ คาเฟ่’ นั่นอาจเป็นคำถามที่หลายคนปรารถนาที่จะถาม และปรารถนาที่จะหาคำตอบอันชัดเจนและตรงใจ ...ในฐานะของผู้เขียน ‘ฆวนนิต้า บราวน์’ และ ‘เดวิด ไอแซคส์’ ได้แสดงทรรศนะในนามของ ‘ชุมชน เวิลด์คาเฟ่’ เอาไว้อย่างน่าเรียนรู้ว่า ‘เวิลด์ คาเฟ่’ มีจุดเน้นที่การสนทนาซึ่งมีความสำคัญยิ่ง... เป็นสิ่งที่สอดคล้องเป็นอย่างดีกับธรรมเนียมปฏิบัติของสภากาแฟในภาคใต้ของประเทศไทย และธรรมเนียมปฏิบัติของประเทศอื่นๆทั่วโลก เป็นการให้คุณค่าต่อการสำรวจด้วยการใตร่ตรอง ด้วยมุมมองอันหลากหลาย และการกระทำอันชาญฉลาดเพื่อสร้างอนาคตอันรุ่งโรจน์ ในการเรียนรู้ร่วมกันและจากกันและกันต่อไป...”
กระบวนการ ‘เวิลด์ คาเฟ่’ ถือเป็นกระบวนการทางจิตวิญญาณของการสนทนาอย่างแท้จริง... แน่นอนว่ามันสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ทุกคน...ทุกชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ ในการพิจารณาอนาคต ตามจุดประสงค์ที่สร้างขึ้นเพื่อประเทศชาติและลูกหลานของประเทศ... ผ่านวิถีแห่งการรับรู้และตระหนักรู้ อันเนื่องมาจากกิจกรรมของการมีส่วนร่วม... ของเหล่าผู้คน ณ ดินแดนต่างๆของโลก... ‘มาร์กาเร็ต เจ วีตเลย์’ ผู้เขียนหนังสือบุกเบิกแนวความคิดใหม่ๆ ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักจาก “ผู้นำกับวิทยาศาสตร์ใหม่” ( Leadership and the New Science) และ “หันหน้าเข้าหากัน” (Turning to one Another) ได้แสดงมุมมองพิเศษที่ ‘เวิลด์ คาเฟ่’ มอบให้แก่อนาคตของเราอย่างน่ารับฟังว่า... “ในช่วงเวลาแห่งความสับสนยุ่งยากที่บรรดาผู้คนแบ่งแยกออกจากกัน ไร้ซึ่งความข้องเกี่ยว”…จะมีแนวคิด กระบวนการและพฤติกรรมใดที่สามารถจะช่วยฟื้นคืนความหวังที่มีต่ออนาคต...และแล้ว ‘เวิลด์ คาเฟ่’ ก็สามารถช่วยได้จริงๆ...การบอกเล่าโดยผู้ปฏิบัติจากทั่วโลก ได้แสดงถึงลู่ทางที่เป็นไปได้ในอันที่ผู้คนจะค้นหาความหมายหรือแม้แต่ความเบิกบานใจในการทำงานร่วมกัน และด้วยอาศัยการสนทนาในขณะที่ทำงานร่วมกันนี้เอง เราจะได้ค้นพบปัญหาอันยิ่งใหญ่ ที่ส่องให้เห็นถึงวิธีในเบื้องหน้า... เวิลด์ คาเฟ่ ได้นำเราคืนกลับสู่โลกที่ถูกลืมเลือนไปแล้ว....นั่นคือโลกที่ผู้คนมารวมกันตามธรรมชาติเพราะต้องการอยู่ร่วมกัน โลกที่เราเริงรื่นกับกระบวนการเก่าแก่ของการสนทนาอันวิเศษสุด ที่ซึ่งเราไม่กลัวที่จะพูดคุยเรื่องซึ่งสำคัญกับเรา โลกที่เราไม่ได้ถูกแยกออกจากกัน แบ่งชนชั้นหรือจัดเข้าพวก โลกของการทักทายธรรมดา โดยปราศจากการปรุงแต่งหรือใช้เทคโนโลยี โลกที่ทำให้เราอัศจรรย์ใจอยู่เนืองๆ จากปัญญาที่ไม่ใช่อยู่ในคนใดคนหนึ่ง หากแต่อยู่ในพวกเราทุกคนและโลกที่เราเรียนรู้ว่า ปัญญาซึ่งปรารถนาสำหรับใช้ไขปัญหานั้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเรามาพูดคุยกัน โลกเมื่อครั้งหนึ่งเราเคยรู้จัก ทว่าโลกนั้นก็ไม่เคยหลงลืมเราไป
ในทางปฏิบัติ กระบวนการ ‘เวิลด์ คาเฟ่’ ถือเป็นกระบวนการที่ได้ปลุกความทรงจำของเผ่าพันธุ์ตนเองอันลึกซึ้งให้ตื่นขึ้น รวมไปถึงการลงลึกไปสู่ความเชื่อพื้นฐานที่เกี่ยวกับมนุษย์ในสองประการคือ...ประการแรก เรา ในฐานะมนุษย์ทั้งหลายต่างปรารถนาที่จะพูดคุยกันถึงสิ่งที่มีความสำคัญต่อเรา ซึ่งอันที่จริงแล้ว มันเป็นสิ่งที่ให้ทั้งความพึงใจและความหมายต่อชีวิต ส่วนประการที่สองหมายถึงขณะที่ เราพูดคุยกัน เราสามารถเข้าถึง ปัญหาอันยิ่งใหญ่กว่า อันอาจพบเจอได้ก็ต่อเมื่อบังเกิด ‘ความเชื่อมั่นในทุกๆคน’ เหตุนี้กระบวนการแห่ง ‘เวิลด์ คาเฟ่’ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการแสดงถึงภาวะอันดีงามและธรรมดา ที่จะชักนำให้ผู้คนได้มาพูดคุยกันถึงปัญหาสำคัญๆ ทั้งนี้โดยมีสมมติฐานว่า คนเราล้วนมีความสามารถที่จะทำงานร่วมกันได้โดยไม่มีการเลือกข้างและแบ่งแยกว่าใครเป็นใคร สมมุติฐานนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันคือวิถีแห่งการปลดเปลื้องเรา...ในฐานะมนุษย์ ให้พ้นออกมาจากกระแสหลักที่มักจะมุ่งไปที่บุคลิกภาพของคน... แบบอย่างของการเรียนรู้ เงื่อนไขแห่งความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งล้วนเป็นแนวทางกระแสหลัก ซึ่งนิยมยืดถือกันในปัจจุบัน เพื่อนำไปสู่การระบุลักษณะหรือตัดสินพิพากษาคนเอาไว้ล้วงหน้า ซึ่งการระบุและกำหนดเกณฑ์ในลักษณะนี้ ออกมามักจะลงเอยด้วยการแบ่งแยก และจัดจำแนกผู้คน...จนถลำลึกไปสู่การดูดกลืนและครอบงำ...ในมิติของ ‘เวิลด์ คาเฟ่’ จึงใช้วิธีการที่เชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์อันหลากหลายเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้... โดยรวมความหลากหลายของผู้ร่วมการสนทนา ซึ่งได้รับแรงใจในการเข้าร่วมเข้าไว้ด้วยกัน ...นี่คือบทบาทของเนื้อหาที่สำคัญอีกส่วนหนึ่ง “ เราจำเป็นต้องพึ่งพาความหลากหลาย การรวมเอาความหลากหลายมาไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เป็นทักษะของการอยู่รอดแห่งชีวิต ณ ปัจจุบันเลยทีเดียว เพราะไม่มีทางอื่นที่เราจะได้ภาพที่ถูกต้องแม่นยำของปัญหาหรือระบบอันซับซ้อน เราจำเป็นต้องมีหลายหูหลายตาและหลายดวงใจมาร่วมแบ่งปันมุมมองต่างๆกัน”
ว่ากันว่าใน ‘เวิลด์ คาเฟ่’ ทุกหนแห่งในโลกนี้เราสามารถสัมผัสได้ถึงการต้อนรับอย่างน่าอัศจรรย์ มีความใส่ใจอย่างดียิ่งต่อการสร้างพื้นที่อันอบอุ่น เปี่ยมไปด้วยความเป็นมิตรไมตรีที่ซึมซาบและลึกซึ้งผ่านสำนึกของผู้เป็นเจ้าภาพ (Host) หรือเจ้าบ้านผู้จัดการสนทนา... โดยเฉพาะกับนัยที่ว่า ‘ทุกๆคนนั้นเป็นที่ต้องการ’ ซึ่งก็คือความจริงที่เชื่อมั่นว่า “ใครๆก็อาจมีส่วนช่วยจุดประกายความเห็นอันลึกซึ้งให้แก่กลุ่มได้อย่างฉับพลัน” เจ้าภาพในฐานะที่เป็นเหมือนผู้อำนวยความสะดวกแห่งเวทีคาเฟ่นี้จะนับเป็นเจ้าภาพอย่างแท้จริง...เป็นผู้สร้างจิตวิญญาณแห่งการต้อนรับ ซึ่งได้ขาดหายไปจากกระบวนการต่างๆของโลกนี้
“คุณมีความรู้สึกอย่างไร เมื่อตัวเองเป็นที่ต้องการอย่างแท้จริง เป็นที่พึ่งพิงของเจ้าภาพ ผู้ปลาบปลื้มยินดีกับการปรากฏตัวของคุณ...”
ในกระบวนการโดยทั่วไปของ ‘เวิลด์ คาเฟ่’ การเคลื่อนไหวนับเป็นความสำคัญที่มองข้ามไปไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่ผู้คนย้ายจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่ง...การเคลื่อนไหวนั้นเป็นมากกว่าปรากฏการณ์ทางกายภาพเพราะขณะที่เราเคลื่อนไหวไป เราจะทิ้งบทบาทความคิด ตลอดจนอคติที่มีมาเอาไว้เบื้องหลัง เราจะรับฟังสิ่งต่างๆจากผู้ร่วมสนทนาด้วยความตื่นใจใคร่รู้ ผู้คนจะเคลื่อนขยับเข้ามาหากันและอยู่ใกล้กันยิ่งขึ้น สีหน้าของทุกคนจะบ่งบอกถึงความตั้งใจในการรับฟังอย่างเต็มที่ ด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความใจจดใจจ่อซึ่งมีต่อกัน “เราได้เป็นตัวแทนของการสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างผู้คนมากมาย...เราได้เคลื่อนออกจากสำนึกของตัวตนที่คับแคบ...ความมั่นใจอันน้อยนิด มาสู่ความกว้างขวางจนไร้ขอบเขตที่ความคิดใหญ่ๆจะได้เผยตัวขึ้นมา เพราะสิ่งนั้นได้กลืนกลายกันมาหลายครั้งหลายคราจนได้หล่อหลอมเป็นรูปเป็นร่างขึ้น และไขเข้าสู่มิติใหม่ ‘ทั้งหมดคือการก่อเกิดพลัง’... ‘เวิลด์ คาเฟ่’ จะไม่มีบรรยากาศของความซึมเซาน่าเบื่อ เพราะคนที่เข้าร่วมทั้งหลายได้กลายเป็นสิ่งที่มีพลัง และได้สร้างพลังจนเกิดเป็นแรงบันดาลใจ เร้าใจ และเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ผ่านกระบวนการสนทนาที่ดี อันหมายถึงการตั้งคำถามดีๆที่ทุกคนสนใจและอยากจะตอบ เพื่อโน้มนำตัวตนของตนออกมาสู่ภายนอก และป้อนเราเข้าหากันและกัน...โจทย์คำถามแต่ละโจทย์ ณ สถานที่แห่งนี้...ในแต่ละครั้งจึงเหมือนคำเชื้อเชิญให้ทุกคนให้เข้ามา สำหรับตรวจสอบ ผจญภัย สุ่มเสี่ยง รับฟัง ตลอดจนผละออกจากจุดยืนของตน “คำถามที่ดีจะช่วยให้เราเป็นทั้งผู้อยากรู้ อยากเห็น และกริ่งเกรงในสิ่งต่างๆ ซึ่งนั่นจะเป็นหนทางไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้งอย่างใหม่ๆที่น่าอัศจรรย์ใจ... เพียงเพราะเราได้มาอยู่ร่วมกัน”
‘เวิลด์ คาเฟ่’ ได้ตอกย้ำให้เห็นในเชิงประจักษ์ว่า... การสนทนานั้นสำคัญยิ่งนัก มันทำให้เรามองเห็นในสิ่งที่มิอาจเห็น แต่ “เพียงแค่การบอกเล่าแก่ผู้คนถึงญาณทัศน์อย่างใหม่นั้นยังไม่พอ หากแต่ต้องให้ทุกคนได้สัมผัส เพื่อกระตุ้นให้เห็นพลังและศักยภาพของสิ่งนั้น แทนที่จะกรอกความรู้สึกใส่เข้าไปในหัวของผู้คน คุณต้องช่วยเขาจัดแว่นตาคู่ใหม่ เพื่อเขาจะได้เห็นโลกบนหนทางที่ต่างไป” ทรรศนะของ “จอห์น ซีลี่ บราวน์” บทนี้ทำให้ส่วนขยายของ ‘เวิลด์ คาเฟ่’ ดูกว้างขวางและเพิ่มมิติแห่งการตีความปรากฏการณ์แห่งความเป็นโลกและชีวิตทั้งภายในและภายนอกของมนุษย์เพิ่มมากขึ้น ประเด็นตัวอย่างของคำถามที่ว่า “จะเป็นอย่างไร ถ้ามนุษย์เราแนบเนาอยู่กับการพูดคุยสนทนาดุจเดียวดับตัวปลาที่ว่ายแหวกอยู่ในสายน้ำ...” รวมทั้งคำถามหลักที่ผู้เข้าร่วมสนทนาสนใจคือ “ความสัมพันธ์ระหว่างการนำและทุนทางปัญญาคืออะไร” ได้ส่งผลต่อคุณภาพและความลึกซึ้งต่อความเข้าใจแบบกลุ่มขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
‘เดวิด ไอแซคส์’ (David Issacs) ผู้เป็นทั้งหุ้นส่วนชีวิตและการทำงาน... ผู้ร่วมเขียนหนังสือเล่มนี้และเป็นผู้ริเริ่มสร้าง ‘เวิลด์ คาเฟ่’ ได้แสดงมุมมองเสมือนเป็นคำตอบของโจทย์ปัญหานี้ว่า... “ความคิดเกี่ยวกับทุนทางปัญญา และการจัดการความรู้ยังอยู่ในช่วงแบเบาะ หนังสือว่าด้วยเรื่องนี้ยังไม่มีเอาเลย ทั้งยังไม่ปรากฏว่ามีแผนที่นำทางแต่อย่างใด เราจึงต้องเขียนขึ้นมาเองระหว่างก้าวเดินไป”
‘เวิลด์ คาเฟ่’ เริ่มต้นขึ้นเมื่อปีค.ศ.1995 ผู้คนจำนวนหลายหมื่นคนใน 6 ทวีปได้เข้ามาร่วมการสนทนา ซึ่งจัดขึ้นตามสถานที่ต่างๆตั้งแต่ห้องโถงเต้นรำในโรงแรมที่แน่นขนัด จุคนได้ราวหนึ่งพันสองร้อยคนไปจนถึงห้องนั่งเล่นที่เป็นกันเอง มีผู้คนประมาน 10 คน ในบริษัทที่มีผู้บริโภคอยู่ทั่วโลก ผู้บริหารจากมากกว่าสามสิบประเทศได้ใช้กระบวนการพูดคุยเช่นนี้มาบูรณาการเข้ากับยุทธศาสตร์การตลาดใหม่ทั่วโลก ...รัฐบาลเม็กซิโกและบรรดาผู้นำของบริษัทได้นำเอา ‘เวิลด์ คาเฟ่’ มาใช้ในการวาดภาพฉากสถานการณ์จำลอง ผู้นำชุมชนท้องถิ่นผู้เป็นตัวแทนของกว่าหกสิบประเทศมาเข้าร่วมการสนทนาคาเฟ่ ระหว่างงานสตอกโฮล์ม ชาลเลนจ์ (Stockholm Challenge) ซึ่งมอบรางวัลแบบเดียวกับรางวัลโนเบลสำหรับผู้ที่สร้างเทคโนโลยีเพื่อสามัญชน สมาชิกของคนในมหาวิทยาลัยทั้งในยุโรปและอเมริกาได้สร้างการสนทนาทางความรู้เสมือนจริงทางอินเตอร์เนต เพื่อใช้สอนโปรแกรมการศึกษาทางไกล ฯลฯ
จะเห็นได้ว่า ทั้งภาคธุรกิจ รัฐบาล การศึกษา องค์กรพัฒนาเอกชนหรือชุมชนต่างๆ ‘เวิลด์ คาเฟ่’ ล้วนสามารถช่วยสมทบส่วนได้อย่างสำคัญ เมื่อมีเป้าหมายขับเน้นไปที่การใช้การสนทนาเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์อันสร้างสรรค์ การเรียนรู้ร่วมกัน และการเกิดปัญญาร่วมที่ไตร่ตรองตรวจสอบปัญหาในชีวิตจริงซึ่งล้วนบังเกิดขึ้นได้จริง... ผ่านการออกแบบโดยพื้นฐานแห่งสมมุติฐานที่ว่า “คนเรามีญาณปัญญา และความคิดสร้างสรรค์อยู่ในตัวเองสำหรับการเผชิญหน้า แม้กับสิ่งท้าทายที่แสนเข็ญ กระบวนการนี้เรียบง่ายธรรมดา แต่ทว่าให้ผลอย่างน่าประหลาดใจ”
“เดอะ เวิลด์ คาเฟ่” คือหนังสือที่ควรรับรู้และไม่ควรข้ามผ่านจากการสัมผัส เป็นหนังสือที่สื่อแสดงอย่างจริงจังถึงว่า ณ เวลานี้น่าจะถึงเวลาแล้วที่มนุษย์เราทุกคนสามารถจะเข้าร่วมการสนทนาที่เชื่อมโยงกันในระดับโลก และเข้าร่วมลงมือกระทำการในเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้น รวมทั้งเลือกวิธีที่จะโต้ตอบ เป็นการสนทนาที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากสถาบันใด เป็นการเข้าร่วมการสนทนาด้วยความตั้งใจจริง โดยเฉพาะกับการตั้งใจที่จะตอบคำถามอันสำคัญต่อไปนี้ให้ได้อย่างสร้างสรรค์
“เราจะส่งเสริมความสามารถในการพูดและคิดร่วมกันอย่างลึกซึ้ง เกี่ยวกับประเด็นปัญหาความเป็นความตายที่ชุมชนองค์กรประเทศชาติ และโลกของเรากำลังเผชิญอยู่ได้อย่างไร? และ “เราจะเข้าถึงปัญญาร่วมและความรู้ร่วมกันอันจำเป็นสำหรับการสร้างสรรค์หนทางใหม่ที่ทอดยาวไปในอนาคตได้อย่างไร ?”
หนังสือเล่มนี้... นับเป็นการเดินทางส่วนบุคคลและกลุ่มคนอันเนื่องมาแต่คำถามสำคัญในสองข้อนี้ เป็นส่วนขยายไปสู่ชุมชนโลกให้ได้ร่วมซักถามและปฏิบัติการออย่างมีชีวิตชีวา... กระบวนการสนทนาที่แสนจะธรรมดาสามัญได้กลับกลายเป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยพลังในการกระตุ้นให้เกิดภาวะสร้างสรรค์... การเข้าถึงปัญญาร่วมที่สามารถสร้างลู่ทางใหม่ให้แก่การปฏิบัติการของชีวิตที่มีคุณค่า... มันคือการสร้างพื้นที่แห่งไมตรีจิต... ด้วยตรรกะแห่ง “วิธีวิทยา” การใช้เหตุและผลในการแสวงหาความจริงทางปรัชญา (Methodology) ที่บางครั้งก็ถือเอาส่วนแห่งความเข้าใจในเชิงปัจเจกเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจ และอธิบายพฤติกรรมของสังคมอย่างแยบยลและหมดเปลือก
“เดอะ เวิลด์ คาเฟ่ คือวิธีการอันง่ายดาย แต่ทว่าโลดโผน สง่างาม น่าสนใจ... สามารถนำไปใช้ในการเจาะลึกและสร้างความคิดที่ยิ่งใหญ่ให้สามารถนำไปใช้ ณ ทุกหนทุกแห่งบนโลกนี้ได้อย่างแท้จริง”