สำนักข่าวต่งประเทศรายงานว่า บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการธนาคารและกฎหมาย ออกมาตำหนำต่อเจ้าหน้าที่กำกับดูแลการธนาคารของสหรัฐฯ โดยระบุว่า ละเลยสัญญาณเตือนก่อนที่ธนาคารซิลิคอนวัลเลย์ หรือเอสวีบี มีปัญหาจนนำไปสู่การถูกสั่งปิดกิจการ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดย ศ.อาร์เธอร์ อี.วิลมาร์ธ แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน สหรัฐฯ แสดงทรรศนะว่า การปิดกิจการธนาคารเอสวีบี ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่อันดับที่ 16 ของสหรัฐฯ และธนาคารซิกเนเจอร์ ในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น สะท้อนให้เห็นว่า การปฏิรูปการกำกับดูแลธนาคารและสถาบันการเงินของสหรัฐฯ นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลกเมื่อปี 2008 (พ.ศ. 2551) เป็นต้นมานั้น ยังมีความย่อหย่อน ขณะเดียวกัน ทางธนาคารเอสวีบีเติบโตอย่างเร็วมากในช่วงปี 2020 – 2022 (พ.ศ. 2563 – 2565) และถือครองพันธบัตรระยะยาวที่มีอัตราดอกเบี้ยตายตัว ส่งผลให้มีความเสี่ยงสูงมาก หากทางธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงินจากที่เคยผ่อนคลาย ไปสู่ความเข้มงวด ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว ก็ถือเป็นสูตรตายตัวของความล้มเหลว ที่เจ้าหน้าที่กำกับดูแลการธนาคารของสหรัฐฯ ควรจะรับรู้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกประหลาดใจแต่ประการใด

ทางด้าน ศ.แอนนา เกลเพิร์น นักวิชาการทางกฎหมายเกี่ยวกับการธนาคารและสินเชื่อ แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ สหรัฐฯ แสดงทรรศนะว่า เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กำกับดูแลฯ ที่จะต้องเพิ่มการเฝ้าระวังดูแลมากขึ้น เมื่อมีกาารผ่อนคลายข้อกำหนดต่างๆ จนทำให้ระบบการเตือนอันตรายแบบอัตโนมัติหายไป กอปรกับในสมัยรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แก้ไขข้อกำหนดกฎระเบียบต่างๆ รวมถึงด้านเงินทุน สภาพคล่องทางการเงินต่างๆ ของทางธนาคาร ก็ทำให้บรรดาธนาคารที่เคยอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวดลดจำนวนลงไปด้วย