น.ส.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท. ในฐานะผู้กำกับดูแลให้ความสำคัญและไม่นิ่งนอนใจกับปัญหาภัยททางการเงินที่ประชาชนถูกหลอกลวง จึงได้ยกระดับให้เรื่องนี้เป็นความเสี่ยงสำคัญที่ทุกสถาบันการเงินจะต้องดูแลและบริหารจัดการอย่างจริงจัง จึงได้ออกชุดมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน เพื่อช่วยให้ระบบการเงินมีความปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ริการทางการเงิน
โดยขณะนี้สถาบันการเงินอยู่ระหว่างทยอยทำมาตรการ เช่น เช่น การยืนยันตัวตนด้วย biometric ผ่านการใช้ใบหน้า Face Recognition ในการทำธุรกรรมโอนเงินเกิน 5 หมื่นบาทต่อครั้ง หรือเกิน 2 แสนบาทต่อวัน ซึ่งมาตรการดังกล่าว จะเห็นว่าทุกธนาคารไม่ได้มีฐานข้อมูลใบหน้าลูกค้าทั้งหมด เช่น บางธนาคารเก็บได้มากกว่า 50% หรือบางธนาคารไม่ถึง จึงจำเป็นต้องมีการปรับฐานข้อมูล เพราะการเก็บข้อมูล biometric เพิ่งเริ่มใช้มาในช่วง 2 ปี และไม่ได้เป็นการบังคับ อีกทั้งยังมีเรื่องกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่ต้องปฏิบัติ ทำให้การเก็บข้อมูลยังไม่ได้มาก แต่หลังจากนี้ลูกค้าสามารถเข้าไปยืนยันตัวตนกับสถาบันการเงินได้ ขณะเดียวกัน ธปท.ได้ประสานงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อดูแลความเสี่ยงจากการทุจริตที่เกี่ยวกับบัญชีม้าที่มีการโอนเงินผ่านสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น คริปโตเคอร์เรนซี โดยตอนนี้ทั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส), ธปท. และ ก.ล.ต. ได้มีการหารือร่วมกันเพื่อดูแนวทางในการป้องกันต่อไป
สำหรับการกำหนดวงเงินการโอนตั้งแต่ 5 หมื่นบาทขึ้นไปต้องยืนยันตัวตนด้วย biometric นั้น จะเริ่มใช้ตั้งแต่เดือน มี.ค.นี้ โดยวงเงินดังกล่าวเป็นวงเงินขั้นต่ำที่เรากำหนด แต่หากธนาคารไหนอยากจะเข้มงวดก็สามารถกำหนดกรอบวงเงินในการยืนยันตัวตนก่อนโอนใหม่ได้ แต่จากข้อมูลที่มีพบว่า วงเงิน 5 หมื่นบาทเป็นวงเงินที่สมดุลระหว่างความเสี่ยงและความสะดวก และหากดูสถิติพบว่ามีเพียง 1% ที่มีการโอนเงินเกิน 5 หมื่นบาท หรือประมาณ 48 ล้านรายการ เพราะถ้ากำหนดวงเงินต่ำกว่านี้อาจจะต้องการยืนยันบ่อยๆ และถี่ๆ อาจไม่สะดวก และหลังจากการปรับวงเงิน-โอนเงินต้องทำ biometric ในระยะต่อไปจะขยายไปสู่การเบิกถอนเงิน
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิกพร้อมยกระดับความปลอดภัยของธนาคาร เพื่อรับมือและจัดการภัยทางการเงินออนไลน์ตามแนวทางการจัดการภัยทจริตทางการเงิน ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ได้แก่ การป้องกัน โดยร่วมมือกันงดส่งข้อความ SMS ที่แนบลิงก์ในการติดต่อกับลูกค้า และเร่งพัฒนาระบบป้องกันการทำธุรกรรมทุจริตอย่างต่อเนื่อง, การตรวจจับ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างนำเทคโนโลยีมาช่วยตรวจจับธุรกรรมต้องสงสัยให้ได้โดยเร็ว ซึ่งได้ร่วมกันออกแบบและพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทุจริตในภาคธนาคาร (Central Fraud Fegistry) เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชี ธุรกรรมต้องสงสัยและบัญชีม้า ระหว่างธนาคารเพื่อดำเนินการติดตามห้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการตอบสนองและรับมือ โดยจัดให้มีช่องทางติดต่อด่วน (Hotline) 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อสามารถแจ้งเหตุได้โดยตรง ซึ่งปัจจุบันมีธนาคารสมาชิกหลายแห่งเริ่มดำเนินการไปแล้ว โดยคาดว่าทั้ง 3 มาตรการจะเริ่มทยอยใช้ และแล้วเสร็จทั้งหมดทุกสถาบันการเงินไม่เกินกลางปี 2566 ส่วนมาตรการอื่นที่ระบบมีความซับซ้อน ต้องใช้เวลาในการพัฒนา สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิกจะเร่งดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จทีละส่วน แต่ทั้งหมดน่าจะเสร็จไม่เกินเดือน ธ.ค.66
ทั้งนี้ยืนยันว่าทุกสถาบันการเงินมีการลงทุนเรื่องนี้เพิ่มอย่างแน่นอน เพราะถือเป็นการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในด้านความปลอดภัย ซึ่งจะมาพร้อมกับเทคโนโลยี ที่ปัจจุบันถูกมิจฉาชีพนำไปเป็นเครื่องมือ ดังนั้นในเชิงระบบของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งหัวใจหลักคือความมั่นใจ เป็นสิ่งที่ธนาคารจำเป็นต้องมีการลงทุนในส่วนนี้ ในกลุ่มธนาคารทั้งหมด เรายังมองไปถึงระบบกลางที่จะเข้ามาช่วยยกระดับการป้องกันและไม่ให้เกิดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งดำเนินการ โดยบริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ จำกัด (NITMX) ซึ่งหวังว่าตรงนี้จะเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างธนาคารรัฐ ธนาคารพาณิชย์ และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆที่สามารถนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมิจฉาชีพ ธุรกรรมที่ผิดปกติ ให้สามารถนำไปติดตาม และเตรียมความพร้อมรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยยืนยันว่าทุกสถาบันการเงินมีการลงทุนเรื่องนี้เพิ่มแน่นอน
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการประสานไปยังสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการประมวลเกี่ยวกับธุรกรรมหรือคนที่สนับสนุนธุรกรรมที่ผิดปกติ โดยเฉพาะในกรณี 1 บัตรประชาชน แต่มี 100 ซิม หรือการติดตามสัญญาณของซิมการ์ดที่สุ่มเสียง หรือบัตรประชาชนที่ได้ซิมการ์ดที่สุ่มเสี่ยง หากพบพฤติกรรมที่แปลก หรือเข้าข่ายดังกล่าวควรจะต้องมีการตรวจสอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลในการนำมาคัดกรองการป้องกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายทวนทอง ตรีนุภาพ ผู้แทนสมาคมสถาบันการเงินของรัฐกล่าวว่า เนื่องจากกลุ่มลูกค้าของสถาบันการเงินของรัฐส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายย่อย ซึ่งมีความเสี่ยงถูกหลอกลวง การดูแลความปลอดภัยในการใช้บริการทางการเงินให้กับลูกค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ สมาคมฯ และสถาบันการเงินสมาชิก พร้อมให้ความร่วมมือกับ ธปท. และสมาคมธนาคารไทยในการจัดการเรื่องดังกล่าว
โดยที่ผ่านมา สถาบันการเงินสมาชิกหลายแห่ง ได้มีแนวทางการป้องกันภัยทุจริตทางการเงินต่างๆอย่างต่อเนื่อง และให้ความรู้ประชาชน โดยเฉพาะการออกประกาศเตือนการไม่ส่งลิงก์ต่างๆให้กับลูกค้าและประชาชน และการเปิดศูนย์รับแจ้งเหตุภัยทางการเงิน ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงแล้ว ยังสามารถนำข้อมูลที่ได้รับจากการร้องเรียน มาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางและพัฒนาระบบการป้องกันภัยทุจริตทางการเงินที่จะเกิดในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับในครั้งนี้ สมาคมฯ และสถาบันการเงินสมาชิก จะร่วมมือเร่งยกระดับการดำเนินการตามมาตรการของ ธปท. ให้ได้ตามกำหนดเวลา เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างเท่าทัน เพราะภัยทุจริตมีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงเร็ว ขณะเดียวกันยังคงเดินหน้าให้ความรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชน ให้รู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ และยังพร้อมร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้ ภาคธนาคาร และสถาบันการเงินของรัฐ ยังอยู่ระหว่างการเร่งเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับ พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาได้ครอบคลุมขึ้น ซึ่งจะต้องอาศัยบทบาทของหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างบูรณาการ