ความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกิดขึ้น ในห้วงเวลานี้ ล้วนเกี่ยวข้อง เป็นเสมือน “จิ๊กซอว์” ที่สามารถนำมาเรียงต่อกัน  เพื่อทำให้เห็นภาพการต่อสู้ที่มีความเชื่อมโยง และชัดเจนในทิศทางของพรรคเพื่อไทยแทบทั้งสิ้น ทั้งด้วยทางตรง และทางอ้อม !            

1 มีนาคม 66 พรรคเพื่อไทย เปิดตัว “เศรษฐา ทวีสิน” นักธุรกิจอสังหาฯชื่อดัง เข้ามาเป็น ที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เพื่อทำหน้าที่รับไม้ต่อจาก “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ที่เธอเองมีอายุครรภ์ถึง 7 เดือนแล้ว คงไม่สะดวกที่จะอุ้มท้องเดินทางขึ้นเหนือ ล่องใต้ ขึ้นเวทีปราศรัยอีกแล้ว

ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดตัวเศรษฐา พรรคเพื่อไทย 26 กุมภาพันธ์ มีความเคลื่อนไหวที่ไม่อาจมองข้าม เมื่อมีการปรากฏตัวของ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์”  อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็น “น้องเขย” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้มีบทบาทตัวจริงของพรรคเพื่อไทย

ในวันนั้นสมชาย พร้อมด้วยแกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ลงพื้นที่ดอนเมือง แนะนำ “สุธนพจน์  กิจธนาภิทักษ์” ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ดอนเมือง

ขณะเดียวกันคลื่นลมการเมืองที่ฟากฝั่ง ฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะ “พรรคพลังประชารัฐ” ถูกจับตาอย่างต่อเนื่องว่า จะต้องสูญเสีย “กลุ่มสามมิตร” ไปให้พรรคเพื่อไทยหรือไม่ แม้วันนี้จะเหลือเพียง “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม และ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รมว.อุตสาหกรรม ก็ตามที

แม้ล่าสุดสมศักดิ์ จะบอกกับสื่อมวลชนว่า การตัดสินใจ ทางการเมืองยกให้เป็นหน้าที่ของสุริยะ ในท่ามกลางกระแสข่าวที่สะพัดมาก่อนหน้าว่า “สมศักดิ์ -สุริยะ”  ไปอยู่พรรคเพื่อไทย แน่นอน !

ถามว่าการที่สมศักดิ์และสุริยะ จะอยู่พรรคพลังประชารัฐ ต่อหรือจะย้ายสังกัดใหม่ ไปสวมเสื้อพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นเรื่องปกติหรือไม่ ? คอการเมืองหลายคนต่างรู้ดีว่า ระดับ “เซียนการเมือง” อย่างสมศักดิ์ ย่อมมองข้ามช็อต ไปแล้วว่าเขาจะยืนอยู่ตรงไหน จึงจะดีที่สุด !

พรรคเพื่อไทยวันนี้ แม้อดีตนายกฯทักษิณ  จะส่ง ลูกสาวคืออุ๊งอิ๊ง ลงมาถือธงนำเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ มาหลายเดือน แต่นาทีนี้ หลายคนในพรรคเองต่างรู้ดีว่าโอกาสที่จะเดินหน้าไปถึงการชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือไม่เกิดขึ้นเลย บวกกับปัญหาภายในพรรค ที่ยังสะสางกันไม่ลงตัว ทั้ง “กระสุน” ที่ยังไม่มีการยิงออกมา รวมถึงการวางตัวผู้สมัครลงส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์ ที่ยังมีความขัดแย้ง ล้วนแล้วแต่กระทบไปถึง “กระแส” ที่แม้อุ๊งอิ๊ง เองก็ยังปลุกไม่ขึ้น

และการมาของเศรษฐา  นอกเหนือไปจากตำแหน่งที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แล้วทุกคนรับรู้กันดีว่า เขาคือว่าที่แคนดิเดตนายกฯ มีชื่ออยู่ในบัญชี เช่นเดียวกับอุ๊งอิ๊ง  แต่ใช่ว่า กว่าจะไปถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งถูกคาดการณ์ว่าจะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม กลางปีนี้ โอกาสที่เศรษฐา จะถูกโจมตี จนคะแนนร่วง ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น และนี่อาจกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ที่คนในพรรคเพื่อไทยต่างรู้กันดี

อย่างไรก็ดี วันนี้แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย ที่เห็นชัดเจน ออกตัวผ่านสื่อคือ อุ๊งอิ๊ง และเศรษฐา แต่ไม่ได้หมายความว่า ว่าที่แคนดิเดตนายกฯคนที่ 3 จะไม่สร้างเซอร์ไพรส์ ตามมา !

หนึ่งในกลยุทธ์การต่อสู้ของทักษิณเพื่อเดินหน้าไปสู่การตั้งรัฐบาลพรรคเดียว คือการดึง “บ้านใหญ่” ไปจนถึง “มุ้งการเมือง” ที่เคยอยู่ด้วยกันกลับ “รังเก่า” นั่นเอง ดังนั้นการที่ “บ้านใหญ่เมืองชล” ของ “สนธยา คุณปลื้ม” จึงเป็นคำตอบ และนั่นหมายความไปถึง  สมศักดิ์ -สุริยะ ที่จะหวนคืนกลับพรรคเพื่อไทย ในเร็วนี้

แต่การกลับไปที่พรรคเพื่อไทยของสมศักดิ์ และสุริยะ ยังมี “ภาคต่อ” เพราะเบื้องลึกเบื้องหลังคือการ “ดีล” ระหว่าง “เจ๊ ด.” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์  น้องสาวทักษิณ และภรรยาสมชาย ที่เพิ่งไปร่วมกิจกรรมหาเสียงที่ดอนเมือง ที่ผ่านมา

อย่าลืมว่าในอดีต ทั้งเยาวภา และสมศักดิ์ เคยทำงานร่วมกันสร้าง “กลุ่มวังน้ำยม”  ก๊วนการเมืองที่มีอำนาจต่อรอง สูงสุดในพรรคไทยรักไทย มาแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหาก สมศักดิ์ สุริยะจะกลับมาร่วมงานกับเจ๊แดง เยาวภา ที่บ้านหลังเก่าอีกครั้ง

เพียงแต่ครั้งนี้ ทั้งสมศักดิ์ และเยาวภา มีภารกิจสำคัญที่ต้องขับเคลื่อน นั่นคือการหนุนให้สมชาย ได้นั่งนายกฯ คนที่ 30  ในฐานะ “ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ” ของพรรคเพื่อไทย คนที่ 3

อย่าลืมว่า สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เคยได้รับการโปรโมท จนได้เข้าไปนั่งนายกฯคนที่ 26 เมื่อปี 2551 โดยขณะนั้นมี “พรรคพลังประชาชน” คือฐานสำคัญส่งสมชาย เป็นคู่ชิงนายกฯ กับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”  ก่อนที่จะชนะเสียงโหวตในสภาฯอย่างท่วมท้นมาแล้ว โดยฝีมือการบริหารจัดการของ ทักษิณ

หลายคนรู้ดีว่า แม้จุดแข็งของทักษิณ จะอยู่ที่การเลือกใช้คนเป็น แต่กลับมีจุดอ่อน คือการไม่ไว้ใจใคร นอกเสียจากคนใน “ตระกูลชินวัตร” ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการผลักดันสมชาย น้องเขยให้ขึ้นมานั่งนายกฯคนที่ 26 ในครั้งนั้น

จะว่าไปแล้ว ทั้งเศรษฐา และสมชาย ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ อดีตนายกฯทักษิณ เคยใช้บริการมาแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ต่างสถานะ ต่างบทบาทกันเท่านั้น  และสำหรับสถานการณ์ทางการเมือง วันนี้ทักษิณ เองต้องประเมินแล้วว่าการเดินหน้าด้วยท่าทีแข็งกร้าวและดุดัน ย่อมไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด เพราะโอกาส “เสียหาย” มีสูง

ครั้นจะ ส่ง “ลูกสาว” ที่ทั้งรัก ทั้งห่วง มาชิงนายกฯ ก็รู้ดีว่า อุ๊งอิ๊ง ยังเป็นผลไม้ที่ยังไม่สุกงอมมากพอ และเธอจะทานกับ “แรงกดดัน” ทางการเมืองที่นับวันจะเข้มข้นมากขึ้นได้หรือไม่  ขณะที่เศรษฐา แม้จะมีภาพ “นักธุรกิจ”  แต่ก็ไม่ใช่คนที่เขาเอง “ไว้ใจ” มากที่สุด เมื่อเทียบน้ำหนักกับ สมชาย วงศ์สวัสดิ์  อยู่ดี !

จิ๊กซอว์การเมือง จะเริ่มชัดเจนมากขึ้น จากนี้ไป เมื่อสมศักดิ์ และสุริยะ เดินออกจากพรรคพลังประชารัฐ แล้วเข้าพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ เช่นเดียวกับความสำคัญและบทบาท ของสมชาย ผู้เป็นน้องเขย จะเริ่มแจ่มชัดมากขึ้น !