ราม วัชรประดิษฐ์
www.arjanram.com
ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในราว 20-30 กว่าปีก่อน ปรากฏพระกรุเก่ายอดนิยม 3 องค์ ที่เรียกว่า “ดังสุดๆ” ทั้งพุทธศิลปะที่ดูเข้มขลังงดงามและพุทธคุณเป็นเลิศ จนเป็นที่เลื่องลือฮือฮาไปทั่วแดนใต้ ได้รับสมญาว่า “พระไตรภาคี” หรือที่เซียนสมัยนั้นเรียกว่า “ท่าเรือ นางตรา นาสนธิ์” สืบจนปัจจุบัน พระกรุทั้งสามก็ยังคงเป็นที่นิยมและเสาะแสวงหาอย่างสูง แต่หาดูได้ยากยิ่ง ลองมาดูประวัติความเก่าแก่อันทรงคุณค่ากันครับ ...
องค์แรก ‘ท่าเรือ’ คือ พระกรุวัดท่าเรือ พิมพ์ปรกโพธิ์ใหญ่
วัดท่าเรือ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘วัดท่าโพธิ์’ จากหลักฐานในหนังสือใบลานผูก ระบุว่า ‘วัดนี้สร้างในสมัยพระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมาโศกราช โดยทรงสถาปนาวัดท่าเรือร่วมกับพระภิกษุชาวลังกา เพื่อประดิษฐานวิหารพระเจดีย์ รวมทั้ง สร้างพระพิมพ์ขึ้นเพื่อฉลองสมโภชพระมหาเจดีย์ที่แล้วเสร็จในปี พ.ศ.1773 นอกจากนี้ ยังใช้เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันอันตรายแก่ผู้ที่อาราธนาติดตัว โดยเฉพาะผู้มีหน้าที่ป้องกันชาติบ้านเมือง พระองค์ทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกลที่จะให้ชนรุ่นหลัง ผู้ทำหน้าที่รักษาบ้านเมือง ได้นำติดตัวออกไปป้องกันภัยเมื่อยามจำเป็น จึงทรงผูกลายแทงไว้คู่กับวัดท่าเรือ...’
ต่อมา ทวดศักดิ์สิทธิ์ วัดศาลามีชัย ได้แก้ลายแทงขุมทรัพย์วัดท่าเรือให้เจ้าพระยานคร (น้อย) และให้ทหารขุดเอาพระเครื่องมาไว้ใช้ป้องกันตัวเมื่อครั้งปราบกบฏเมืองไทรบุรี-กลันตันเป็นครั้งแรก ปรากฏว่าสามารถสยบศัตรูได้อย่างราบคาบ เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้รับความดีความชอบเลื่อนยศขึ้นเป็น ‘เจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช’ องค์สุดท้ายของประวัติศาสตร์เมืองนครศรีธรรมราช หลังจากนั้นก็ได้อาราธนาพระกรุท่าเรือติดตัวในการทำสงครามอีกหลายต่อหลายครั้ง กาลต่อมาวัดท่าเรือได้แปรสภาพเป็นวัดร้างมายาวนาน จนเมื่อประมาณปี พ.ศ.2519 กรมศิลปากรทำการปรับที่ดินเพื่อสร้างวิทยาลัยนาฏศิลป์ ได้ขุดพบซากพระอุโบสถและอื่นๆ ตามที่ระบุในใบลานทุกอย่าง รวมทั้ง ‘พระพิมพ์’ ซึ่งปรากฏพุทธคุณเป็นเลิศแก่ผู้สักการะ ก็ยิ่งเป็นที่ศรัทธาและแสวงหากันเพิ่มยิ่งขึ้น
‘พระกรุวัดท่าเรือ’ ส่วนใหญ่เป็นพระเนื้อดิน มีทั้งเนื้อหยาบและละเอียด มีแร่กรวดทรายผสมอยู่ค่อนข้างมาก พุทธศิลปะเป็นแบบอยุธยาตอนต้น มีหลายพิมพ์ อาทิ ปรกโพธิ์ พิมพ์ใหญ่, ปรกโพธิ์ พิมพ์เล็ก, พิมพ์วงเขน, พิมพ์ตรีกาย และพระปิดตา เป็นต้น แต่ที่เป็น ‘พิมพ์นิยม’ และจัดให้เป็นอันดับหนึ่งในพระชุดไตรภาคี คือ "พิมพ์ปรกโพธิ์ พิมพ์ใหญ่" หรือ "พระซุ้มชินราช พิมพ์ใหญ่" องค์พระตัดกรอบแบบสี่เหลี่ยม พุทธลักษณะงามสง่า พระประธานประทับนั่ง แสดงปางสมาธิ บนฐานบัวสองชั้น อยู่ภายในซุ้มเรือนแก้วแบบซุ้มชินราช มีปรกโพธิ์ปกคลุมเหนือซุ้ม
องค์ต่อมา ‘นางตรา’ คือ พระกรุวัดนางตรา พิมพ์นาคปรกใหญ่
วัดนางตรา หรือ วัดพะนังตา ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า สร้างโดย ‘พระนางเลือดขาว’ บุตรีของคหบดีย่านหมู่บ้านป่อล้อ (ปัจจุบันอยู่ใน ต.แม่เจ้าอยู่หัว อ.เชียรใหญ่) ผู้เป็นหญิงที่เพียบพร้อมด้วยลักษณะเบญจกัลยาณี (คือ ใบหน้างาม เนื้องาม นมงาม นิ้วงาม และน่องงาม) มีอุปนิสัยเยือกเย็น สุขุม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และยังมีจิตเป็นกุศล ชอบการทำบุญทำทาน ช่วยเหลือเกื้อกูล ต่อมาได้เป็นพระมเหสีเอกของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช เจ้าแห่งราชอาณาจักรตามพรลิงค์ แต่จนถึงกาลมัชฌิมวัยแล้ว พระองค์ก็ยังไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาเพื่อสืบสันตติวงศ์ จึงเข้าเฝ้ากราบทูลลาออกจากตำแหน่ง และใช้ชีวิตในช่วงปัจฉิมวัยด้วยการสร้างบุญกุศลสืบทอดพระบวรพุทธศาสนา บูรณปฏิสังขรณ์และสร้างวัดขึ้นมากมายทั่วเขตเมืองนครศรีธรรมราช มีอาทิ วัดแม่เจ้าอยู่หัว วัดเขาพระทอง วัดถ้ำเขาแดง วัดสระโนราห์ รวมถึง วัดพระนาง และในทุกๆ วัดเหล่านั้น ล้วนมีการขุดพบ ‘พระพิมพ์’ ทั้ง เนื้อดิน ชิน ทอง เงิน และสัมฤทธิ์ ที่เป็นพระเครื่องและพระบูชามากมาย สันนิษฐานว่าพระนางเลือดขาวทรงสร้างไว้เพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาตามคติความเชื่อ
‘พระกรุนางตรา’ ที่แตกกรุออกมา มีพุทธศิลปะแบบศรีวิชัยยุคกลาง มีอายุประมาณปี พ.ศ.1500-1600 ก่อนอาณาจักรละโว้หรือลพบุรี ส่วนใหญ่เป็นพระเนื้อดินเผาผสมว่านยา สีออกน้ำตาลแก่ ดำอมเทา หรือเหลืองมันปู มีมากมายหลายพิมพ์ทรง เช่น พิมพ์สามเหลี่ยมปาฏิหาริย์ พิมพ์ซุ้มปรางค์ พิมพ์ยืนประทานพร ฯลฯ แต่ที่เป็น "พิมพ์นิยม" หนึ่งในพระชุดไตรภาคี คือ “พิมพ์นาคปรกใหญ่” เป็นพระทรงสี่เหลี่ยม พระประธานประทับนั่งสมาธิ แสดงปางนาคปรก มีลักษณะพิเศษที่ใต้ฐานนาคจะมีพระองค์เล็กประทับอยู่อีกหนึ่งองค์ ด้านพุทธคุณเป็นที่ปรากฏทางเมตตาและแคล้วคลาดคงกระพันเป็นเลิศ ที่สำคัญพระเครื่องแตกกรุออกมาจำนวนไม่มากนัก จึงเป็นที่หวงแหนมาก
ส่วน ‘นาสนธิ์’ คือ พระกรุวัดนาสนธิ์ พิมพ์ใบพุทราหรือพิมพ์ยอดขุนพล
วัดนาสนธิ์ เป็นวัดเก่าแก่และมีความสำคัญควบคู่กับวัดท่าเรือ คือได้รับการสถาปนามาจากพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช เมื่อครั้งสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ทรงศรีวิชัยยุคแรก หรือเมื่อคราวสร้างเมืองพระเวียงเป็นเมืองหลวงที่สองของอาณาจักรตามพรลิงค์ บนหาดทรายแก้ว ในระหว่างปี พ.ศ.1089-1300 โดยจะอยู่ติดกับ วัดเตาปูน ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งเตาเผาเปลือกหอยเพื่อทำปูนขาวผสมยางไม้และข้าวเหนียว สำหรับก่อสร้างพระธาตุเจดีย์ยุคแรก พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชคงเสด็จมาตรวจเตาปูน และทรงเห็นว่าเป็นสถานที่สงบเหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนาของพระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี ครั้นเมื่อสร้างพระธาตุเจดีย์แล้วเสร็จ จึงได้สถาปนาที่ตั้งเตาปูนเป็น ‘วัดเตาปูน’ และที่ประทับชั่วคราวเมื่อเสด็จมาตรวจดูเตาปูนเป็น ‘วัดนาสนธิ์’ พร้อมกันนี้ ได้โปรดฯ ให้สร้างพระพิมพ์บรรจุกรุไว้เพื่อสืบทอดอายุพระศาสนาที่วัดนาสนธิ์ด้วย
‘พระกรุวัดนาสนธิ์’ เท่าที่พบมี 3 พิมพ์ คือ พิมพ์วงเขนหรือพิมพ์พระจันทร์เต็มดวง, พิมพ์ผานไถ และ พิมพ์ใบพุทราหรือพิมพ์ยอดขุนพล ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน ‘พระไตรภาคี’ เป็นพระศิลปะศรีวิชัยยุคต้นบริสุทธิ์ ประมาณปี พ.ศ.1100-1300 พุทธศิลป์จะเป็นแนวอินเดียสกุลช่างปาละเสนะ อันเป็นต้นแบบพุทธศิลป์ที่เรียกว่า “ขนมต้ม” ของเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยต่อมา ด้านพุทธคุณนั้น เรียกได้ว่า "ครอบจักรวาล" ทุกพิมพ์ ทั้ง อำนาจ วาสนา บารมี โชคลาภ และคงกระพัน เหลือจะบรรยาย ดังคำโบราณกล่าวไว้ว่า "ผู้มีพระพิมพ์ศรีวิชัยติดตัว ย่อมมีชัยชนะอย่างสง่างามในทุกด้าน" ครับผม