กระทรวงสาธารณสุข จัดโครงการป้องกันโรคติดต่อแก่ชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ปี 2566 มีการให้บริการตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ก่อนเดินทาง พร้อมออกเอกสารรับรองการได้รับวัคซีน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย รวมถึงส่งทีมแพทย์ไปดูแลระหว่างประกอบพิธี
วันที่ 9 มี.ค.66 ที่ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดโครงการป้องกันโรคติดต่อแก่ชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ปี 2566 โดยมี นายอับดุลอะซีซ อับดุรเราะห์ (Mr. Abdulaziz Abdullah I. Alkhudhayr, Counsellor) Deputy Head of Mission นายประสาน ศรีเจริญ ผู้แทนจุฬาราชมนตรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วม ภายในงานมีบริการตรวจสุขภาพให้แก่ชาวไทยมุสลิมก่อนเดินทางไปแสวงบุญ โดยทีมแพทย์และพยาบาลจากโรงพยาบาลทั้งภายในและภายนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้บริการฉีดวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นและวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ พร้อมออกเอกสารรับรองการให้วัคซีนป้องกันโรคติดต่อระหว่างประเทศ โดยกรมควบคุมโรค
นายอนุทิน กล่าวว่า ปัจจุบันความสัมพันธ์ไทยและซาอุดีอาระเบีย พัฒนาไปอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะภายหลังการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด (His Royal Highness Prince Mohammed bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เป็นผลให้ความร่วมมือของทั้งสองประเทศ รวมถึงความร่วมมือในกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค และความร่วมมือในระดับพหุภาคีเป็นไปในแนวโน้มที่ดีทั้งด้านการค้า การลงทุน การกีฬา ศาสนา การศึกษา และวัฒนธรรม รวมไปถึงการอำนวยความสะดวกสำหรับผู้แสวงบุญชาวไทยในการทำฮัจย์และอุมเราะห์
“นับจากสถานการณ์โควิด 19 ทั่วโลกมีแนวโน้มดีขึ้น ปีที่ผ่านมาราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียจึงได้เริ่มเปิดโอกาสให้ชาวมุสลิมจากทั่วโลกเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุข จึงสนับสนุนโครงการป้องกันโรคติดต่อแก่ชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ เหมือนดังเช่นเคยที่ได้สนับสนุนพี่น้องชาวไทยมุสลิมมาอย่างต่อเนื่อง โดยให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคก่อนเข้าประเทศตามที่ทางการซาอุดีอาระเบียกำหนด โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ขณะที่สถานบริการของกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดบริการตรวจสุขภาพก่อนการเดินทาง และส่งหน่วยแพทย์พยาบาลไปให้การดูแลรักษาระหว่างการประกอบพิธีฮัจย์ด้วย ซึ่งจะทำให้ชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ได้รับการดูแลสุขภาพอย่างครบถ้วน ทั้งก่อนการเดินทาง ระหว่างประกอบพิธี และหลังเดินทางกลับประเทศไทย สามารถประกอบพิธีฮัจย์ได้อย่างสมบูรณ์ตามศาสนบัญญัติ” นายอนุทิน กล่าว
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า การประกอบพิธีฮัจย์ถือเป็นหน้าที่สำคัญประการหนึ่งของผู้นับถือศาสนาอิสลาม ที่จำเป็นต้องปฏิบัติเมื่อมีความพร้อมตามที่ศาสนากำหนด โดยจะต้องเดินทางไปประกอบพิธี ณ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ซึ่งในแต่ละปีมีผู้เดินทางจากทั่วโลกกว่า 3 ล้านคนเข้าร่วมพิธี สำหรับปีนี้พิธีฮัจย์จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน-1 กรกฎาคม 2566 ทางการซาอุดีอาระเบีย ได้ประกาศพร้อมรับผู้แสวงบุญจากทั่วโลก ในจำนวนเท่ากันกับระดับก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด 19 โดยจัดสรรโควตาให้กับผู้แสวงบุญชาวไทย จำนวน 13,000 คน ซึ่งได้มีชาวไทยมุสลิมที่ลงทะเบียนพร้อมเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ จำนวนทั้งสิ้น 12,058 คน โดยที่ในปีนี้ซาอุดีอาระเบียไม่มีการกำหนดเงื่อนไขอายุของผู้แสวงบุญ สำหรับข้อกำหนดการได้รับวัคซีนป้องกันโรคก่อนเดินทางเข้าประเทศ ประกอบด้วยวัคซีน 3 ชนิด ได้แก่ 1.วัคซีนโควิด 19 2 วัคซีนไข้หวัดใหญ่ และ 3.วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดให้มีบริการตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ก่อนการเดินทาง พร้อมออกเอกสารรับรองการได้รับวัคซีน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ -10 พฤษภาคม 2566 รวมถึงจัดระบบดูแลสุขภาพชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธี ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพก่อนเดินทาง ส่งทีมแพทย์พยาบาลไปดูแลระหว่างประกอบพิธี และเฝ้าระวังติดตามสุขภาพภายหลังเดินทางกลับอีก 14 วัน เพื่อการดูแลสุขภาพพี่น้องชาวไทยมุสลิมทั้ง 12,058 คน ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย สำหรับในวันนี้มีผู้เข้าร่วมโครงการรับบริการทั้งสิ้น 1,743 คน