หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เศรษฐกิจประเทศไทย และทั่วโลกมีทิศทางที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงทำให้หลายหน่วยงานปรับปรุกลยุทธ์การขาย และการตลาด การโฆษณา และประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย และสื่อต่างๆ เพื่อให้กลับมาฟื้นตัว และสามารถแข่งขันในตลาดโรงแรมระดับกลางในเมืองได้อีกครั้ง ซึ่ง นางสาว ชิดชนก พศินพงศ์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอวานี สุขุมวิท กรุงเทพ ได้สะท้อนแผนการดำเนินงานได้อย่างน่าสนใจ

เน้นเจาะกลุ่มประชุม และสัมมนา

โดย นางสาว ชิดชนก พศินพงศ์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอวานี สุขุมวิท กรุงเทพ กล่าวว่า อัตราการเข้าพักในช่วงที่ผ่านมามีประมาณ 20-30% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565  จนมาเห็นการเจริญเติบโตได้ชัดในไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมา ซึ่งโตจากไตรมาส 2 ประมาณ 50-60% เพราะหลายๆ ประเทศเริ่มทยอยเปิดเมือง

ส่วนตัว Average daily rate (ADR) หรืออัตราเฉลี่ยรายวันใช้เพื่อแสดงอัตราเฉลี่ย (ราคา) ของห้องที่ขายในวันหนึ่ง ๆ เป็น KPI ที่สำคัญในการวัดผลการดำเนินงานของโรงแรมเทียบกับคู่แข่งจะเริ่มโตตอนไตรมาส 4 โตประมาณ 50% จากไตรมาส 2 เพราะฉะนั้นการเติบโตที่เห็นได้ชัดรับรู้ถึงสถานการณ์ที่จะเริ่มเข้าสภาวะปกติแล้ว ซึ่งสรุปอัตราการเข้าพักทั้งปีของ 2565 อยู่ประมาณ 80%

ขณะที่ในปี 2566 นางสาวชิดชนก กล่าวว่า ในไตรมาสแรกสำหรับตัว ADR เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปี 2565  อาจจะเท่ากันๆ เพราะลูกค้าจะมาเป็นกลุ่มเอฟไอที ดังนั้นใน ปีนี้ภาพรวมก็จะเป็นกรุ๊ปประชุมและสัมมนา ซึ่งช่วงไตรมาแรกจะได้นักท่องเที่ยวในช่วงวันตรุษจีน เป็นกลุ่มตลาด reginal (ภูมิภาค) เช่นจาก ญี่ปุ่น , จีน, เยอรมัน ,ไทย , อังกฤษ เป็นต้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้นักท่องเที่ยวจีน ไต้หวันมาในจำนวนเป็นที่น่าพอใจ โดยอัตราการเข้าพักช่วงเดือนมกราคมใกล้ถึง 80% จะมียอดโตในช่วง 2 สัปดาห์แรก จนมาวันตรุษจีนอัตราการเข้าพักเกิน 80%  

จุดเด่นอยู่ที่โลเคชั่นและตัวโรงแรม

อย่างไรก็ตาม นางสาวชิดชนก กล่าวต่อว่า จุดเด่นของ อวานี สุขุมวิท กรุงเทพ คือ โลเคชั่น ที่ติดสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส และอยู่ภายในศูนย์การค้า จึงเป็นจุดขายหลัก เพราะการติดบีทีเอส สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าคอร์เปอเรท และเอฟไอที ที่สามารถเดินทางได้สะดวก อีกทั้งด้วยโรงแรมเปิดเมื่อปี 2562 มีอายุประมาณ 3-4 ปี จึงถือว่าเป็นสินค้าที่ใหม่ จึงเป็นจุดขายที่ดีในระดับหนึ่ง

ทั้งนี้ อวานี สุขุมวิท กรุงเทพ มุ่งเป้าไปที่กลุ่มประชุม และสัมมนา จึงน่าจะมีส่วนช่วยยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศ ด้วยบริการประชุมในมิติใหม่ที่มาพร้อมความบันเทิง และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมได้อย่างลงตัว เช่นเดียวกับในส่วนของห้องพักที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ในปีที่ผ่านมาโดยบางเดือนมีอัตราการเข้าพัก 70-80% สูงกว่าช่วงก่อนโควิด  

กลุ่มเป้าหมายหลักเป็นเอเชียปซิฟิก

ซึ่ง นางสาวชิดชนก กล่าวต่อไปว่า ในปี 2566 ได้มุ่งไปที่ตลาดเป้าหมายหลัก คือ สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลี จีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น โดยเป็นกลุ่มประเทศที่มาเป็นจำนวนมากที่สุดในช่วงนี้  โดยเฉพาะฮ่องกง และเกาหลีจะเป็นกลุ่มเอฟไอทีที่มาเที่ยวเอง มาช้อปปิ้ง รวมไปถึงกลุ่มเกาหลีที่เดินทางมาเล่นกอล์ฟ ซึ่งตลาดกลุ่มนี้ก็จะพยายามขยายตลาดต่อไป พร้อมๆ กับต้องตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงของลูกค้าในกลุ่มกรุ๊ปทัวร์ที่มีขนาดเล็กลง จากเดิมที่มาแบบหลายๆห้องมาเหลือเพียง 4-5 ห้องต่อกรุ๊ป ดังนั้นโรงแรมจึงต้องปรับตัวไปตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป

ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นคอร์เปอเรท จากผู้บริหาร และทีมงานตามนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นจุดหมายหลักๆ ที่จะเน้นหนักในช่วงนี้ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องรักษาไว้  คือ กลุ่มตลาดคนไทยที่ยังติดอันดับท็อป 10 ของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการอย่างเสมอ โดยเฉพาะช่วงนี้มีโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 ทางโรงแรมก็ได้เข้าร่วมเช่นเดิม ซึ่งเวลานี้มีอัตราการเข้าพักอยู่ประมาณ 10-15% ของจำนวนแขกที่มาใช้บริการ

ร่วมกับเอเยนต์ท่องเที่ยวเจาะกลุ่มลูกค้า

พร้อมกันนี้ นางสาวชิดชนก ยังกล่าวถึงตลาดอื่นๆ  อย่าง อินเดีย ซึ่งในช่วงโควิดเข้ามาใช้บริการกันจำนวนมาก เพราะเป็นประเทศแรกที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทาง  โดยทางโรงแรมยังเข้าไปร่วมกับพันธมิตรผ่านเอเยนต์ท่องเที่ยวต่างๆ โดยมีอัตราการเข้าพักประมาณ 5-8% ขึ้นอยู่กับฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงเดือนมิถุนายน และยังอยู่ในท็อป 10 ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทย ที่เหลือจะมาจากกลุ่มยุโรป ที่มีสัดส่วนประมาณ 15-20% แล้วแต่ฤดูกาล และมากสุดในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งลูกค้าหลักๆ จะมาจากเยอรมัน ฝรั่งเศส เป็นต้น ด้วยการใช้กลยุทธ์ทางการตลาด เจาะกลุ่มไมซ์ เป็นหลักจาก ตลาดเอเชียแปซิฟิก คือ ตลาดสิงคโปร์ และฮ่องกง

ในปี 2566 นี้ตั้งเป้ากลุ่มไมซ์โตประมาณ 20-25% โดยกำหนดทิศทางไว้ตั้งแต่ ไตรมาส 1 และ 2  ทั้งตำแหน่ง และราคาที่ต้องการ เมื่อถึงไตรมาส 3 ก็จะต้องมั่นคง เพื่อจะได้ดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมผลักดันราคาห้องพักที่ช่วงเวลานี้เพิ่มขึ้นประมาณ 2-3 เท่า แต่น่าจะขึ้นไปได้อีกประมาณ 15%จากราคาของปี 2565ในช่วงปลายปีนี้