สรส.-คสรท. ผนึกกำลังบุกทำเนียบฯ ยื่น นายกฯ 9 ข้อ เรียกร้องสิทธิสตรี ยกระดับสิทธิและสวัสดิภาพคนงานหญิงให้อยู่อย่างมีศักดิ์ศรีในสังคม  

     ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน เมื่อวันที่ 8 มี.ค.66 สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ร่วมกับคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) จัดกิจกรรมเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในวันสตรีสากล ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มี.ค.ของทุกปี ทั่วทั้งโลก

     โดยระบุว่า นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ.2518) เป็นต้นมา สหประชาชาติ ให้ความสำคัญจัดงานอย่างเป็นทางการ ประกาศให้เป็น"วันสตรีสากล" (International Women's Day) ด้านหนึ่งเป็นวันที่จะเฉลิมฉลองเพื่อให้สตรีมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในภาคสังคม การเมืองและเศรษฐกิจ อีกด้านหนึ่งเพื่อสร้างความตระหนักให้เห็นถึงความไม่เสมอภาค เท่าเทียม ที่ยังดำรงอยู่ปัจจุบันผู้หญิงได้เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโลก พัฒนาสังคมประเทศ และมีผู้หญิงในหลายประเทศก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ สำหรับประเทศไทยจากการเคลื่อนไหวของเครือข่ายขบวนการแรงงานและเครือข่ายผู้หญิง กลุ่มเพศสภาพ และสาขาอาชีพต่างๆ ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้เรื่องสิทธิ เสรีภาพ มากยิ่งขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายและมีการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิ สวัสดิภาพของผู้หญิงมากขึ้น 

     อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงผู้หญิงยังคงถูกเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรมอีกมากมายหลายมิติ  วันสตรีสากลในปีนี้ เครือข่ายแรงงาน เครือข่ายผู้หญิง ต้องการให้รัฐบาลบูรณาการแก้ไข ดำเนินการทางนโยบาย กฎหมาย เพื่อปกป้องคุ้มครอง และเยียวยาสิทธิของผู้หญิงให้อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ตามหลักการองค์การระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการทำธุรกิจต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน จากสถานการณ์วิกฤติโควิด ที่ส่งผลกระทบให้แรงงานหญิง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ต้องเผชิญการถูกเลิกจ้าง ลอยแพ และการถูกละเมิดสิทธิทางเพศ ถูกเอารัดเอาเปรียบที่รุนแรงเพิ่มเป็นทวีคูณมากขึ้น

     ความล่าช้า ความยากลำบากในการเรียกร้องความเป็นธรรมต่อขบวนการยุติธรรมที่ประชาชนเข้าไม่ถึง ทั้งช่องว่างของกฎหมายทำให้สูญเสียสิทธิ และขาดโอกาสในการทำงานที่มั่นคง ยั่งยืน ไร้ความเป็นธรรมส่งผลถึงคุณภาพชีวิตทั้งตนเองครอบครัว สังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ "ต่อต้านทุนนิยมเสรีกดขี่แรงงาน-หญิง" จึงถูกกำหนดให้เป็นคำขวัญในการรณรงค์วันสตรีสากลเพื่อสะท้อนสภาพปัญหาดังกล่าว และข้อเรียกร้องในวันสตรีสากล ให้เกิดขึ้น คสรท. และสรส. จึงขอเสนอข้อเรียกร้องเนื่องในวันสตรีสากล ประจำปี 2566 ดังนี้

     1.รัฐต้องรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับต่าง ๆ ดังนี้ ฉบับที่ 177 ว่าด้วยงานที่รับไปทำที่บ้าน  ฉบับที่ 183 ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิความเป็นมารดา ฉบับที่ 189 ว่าด้วยงานที่มีคุณค่าสำหรับลูกจ้างทำงานบ้าน ฉบับที่ 190 ว่าด้วยการขจัดความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงาน โดยเฉพาะการเลิกจ้างหญิงตั้งครรภ์ และการล่วงละเมิดทางเพศให้เป็นคดีอาญาที่ยอมความไม่ได้
    
 2.รัฐต้องกำหนดให้ผู้หญิงมีสิทธิลาคลอดได้ 180 วัน และให้ผู้ชายลาไปดูแลภรรยาคลอดบุตรได้ 30 วัน โดยได้รับค่าจ้างตามที่จ่ายจริง 100% และให้เร่งรัดการจ่ายค่าจ้างวันลาคลอด 98 วันตามมติ ครม. ที่เห็นชอบ ให้ครบถ้วน 3. รัฐต้องกำหนดมาตรการเพื่อขจัดการละเมิดสิทธิแรงงานทุกรูปแบบ รวมถึงหามาตรการปกป้อง คุ้มครอง และเยียวยา เพื่อสร้างความมั่นคงในการทำงานและเข้าถึงสิทธิสวัสดิการอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมให้เป็นไปตามหลักการการดำเนินธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGP) ที่รัฐบาลไทยได้ให้สัตยาบัน
   
  4.รัฐต้องให้เงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า 0-6 ปีเดือนละ 3,000 บาท 5. รัฐต้องกำหนดสัดส่วนหญิง ชาย และเพศสภาพ ในการตัดสินใจของคณะกรรมการทุกมิติ ทุกระดับ อย่างน้อย 1 ใน 3 เพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม 6. รัฐต้องกำหนดให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปี เป็นวันหยุดตามประเพณี 7. รัฐต้องจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นไปตามหลักการองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ให้สามารถ เลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 8. รัฐต้องให้ลูกจ้างทำงานบ้านเข้าถึงสิทธิประกันสังคม มาตรา 33  
  
   9.ขอให้รัฐบาลไทยเจรจากับทางการพม่าให้แรงงานสามารถต่อเอกสารในประเทศไทยได้ข้อเรียกร้องนี้ ได้เสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมานานหลายปี เพื่อตอกย้ำให้รัฐบาลทุกรัฐบาลได้มีจิตสำนึกและตระหนักถึงหน้าที่ในการดูแลประชาชน คนงาน ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนงานทุกภาคส่วน ดังนั้น คสรท.และ สรส. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาล จะให้ความสำคัญกับสิทธิและบทบาทของคนงานหญิง ด้วยการดำเนินการตามข้อเรียกร้องวันสตรีสากล เพื่อแสดงออกถึงความจริงใจของรัฐบาล ในการยกระดับสิทธิและสวัสดิภาพของคนงานหญิงให้อยู่อย่างมีศักดิ์ศรีในสังคมต่อไป