เมื่อวันที่ 7 มี.ค.66 ที่ชมรมทนายความจิตอาสา ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี นายชัยภิพัฒน์ อายุ 40 ปี อาชีพขับรถแท็กซี่ เดินทางเข้าพบนายเกียรติคุณ ต้นยาง หรือทนายโป้ง ประธานชมรมทนายความจิตอาสา เพื่อให้ช่วยติดตามคดี พร้อมเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 ต.ค.65 ที่ผ่านมา ตนได้ปรึกษากับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับเรื่องหารายได้เสริม เพราะรายรับไม่พอกับรายจ่าย จึงต้องการเอารถยนต์กระบะยี่ห้อ อีซูซุ ทะเบียน กรุงเทพมหานคร ของตนเองไปจำนำกับนายทุน เพื่อนำเงินไปดาวน์รถแท็กซี่มาขับหาเลี้ยงครอบครัว เพื่อนของตนจึงแนะนำให้ไปหานายแดง (สงวนชื่อนามสกุล) อายุประมาณ 50 ปี ต่อมานายแดงได้พาตนไปหานายต๋อย ซึ่งเป็นนายทุนรับจำนำรถอยู่ที่จังหวัดนครปฐม โดยรับจำนำราคา 100,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 บาทต่อเดือน หักค่าดอกเบี้ยล่วงหน้าจำนวน 11,500 บาท เหลือเงินกลับบ้านจำนวน 88,500 บาท จึงนำไปเงินส่วนหนึ่งไปดาวน์รถแท็กซี่อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ตอนแรก งวดที่ 2 ตนก็จ่ายดอกเบี้ยตามปกติ พอถึงงวดที่ 3 ตนจ่ายดอกเบี้ยจำนวน 11,500 บาท พร้อมกับจ่ายเงินต้นจำนวน 10,000 บาท รวมยอดงวดที่ 3 ตนจ่ายทั้งหมด 21,500 บาท ซึ่งยอดเงินต้นก็ต้องลดลงมาเหลือ 90,000 บาท
จนกระทั่งเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคม 66 นายแดง ได้สร้างเรื่องมาโกหกว่ามีตำรวจเข้ามาตรวจค้นโกดังที่รถของตนจอดอยู่ และขอเอกสารยืนยันระบุตัวตนเจ้าของรถ ตอนนั้นตนรู้สึกสังหรณ์ใจคิดว่านายแดงโกหกอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ผ่านไปประมาณ 2 วัน ตนจึงเอาเอกสารสำเนารถไปให้นายเเดง จากนั้นนายแดงได้เอาเอกสารรถของตนไปไถ่รถกับนายต๋อย จำนวน 90,000 บาท และออกไปตระเวนหานายทุนรับจำนำรายใหม่ แต่ก็ไม่มีนายทุนคนไหนรับจำนำเเต่อย่างใด นายแดงจึงนำรถกลับมาจำนำกับนายต๋อยอีกครั้งในราคา 100,000 บาท ซึ่งตนสงสัยว่านายแดงเอารถออกมาจาก นายต๋อย ได้อย่างไร และนายต๋อยจะรู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่ และระหว่างที่ตนส่งดอกเบี้ยให้กับนายต๋อย ต้องจ่ายเงินผ่านนายแดงทุกครั้ง หลังเกิดเรื่องทำให้ตนเสียความรู้สึกและไม่ไว้ใจเป็นอย่างมาก จึงหานายทุนคนใหม่เพื่อนำเงินมาปิดยอดที่เหลือจำนวน 90,000 บาท
จนกระทั่งวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา มีคนแนะนำให้ตนรู้จักกับนายไอซ์ เป็นนายทุนรับจำนำรถ ตนจำนำไว้ราคา 90,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 บาทต่อเดือน ขณะเดียวกันตนก็ได้ติดต่อกับนายหน้าอีกรายหนึ่งโดยให้ราคา 160,000 บาท ซึ่งมากกว่านายไอซ์ โดยนัดเจอและรอทำสัญญากันที่ห้างโลตัส ศรีนครินทร์ หลังไถ่รถคืนจาก นายต๋อย เสร็จเป็นที่เรียบร้อย จึงพากันไปที่จุดนัดพบ ตอนนั้นตนนั่งรถมากับนายไอซ์ส่วนรถของตนลูกน้องของนายไอซ์เป็นคนขับตามมา ระหว่างเดินทางตนได้ถามนายไอซ์ว่าใช้เงินไถ่รถออกมาเท่าไหร่ นายไอซ์แจ้งว่ายอดที่จ่ายไปทั้งหมด 100,000 บาท ซึ่งเกินจากยอดที่ตนต้องจ่ายให้นายต๋อย จำนวน 10,000 บาท จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น สุดท้ายตนก็ต้องเป็นฝ่ายยอมเพราะรถอยู่กับลูกน้องของนายไอซ์
เมื่อมาถึงจุดนัดหมาย ก็พบนายทุนเจ้าใหม่กำลังทำสัญญาเพื่อจ่ายเงิน จู่ๆนายไอซ์ได้พูดจาต่อว่านายทุนเรื่องทำเอกสารช้า จึงทำให้มีปากเสียงกัน จากนั้นนายไอซ์ได้ขับรถออกไป บอกว่าจะไปกินข้าว หลังจากที่นายไอซ์ออกไปได้สักพัก กลุ่มนายทุนก็ทำสัญญาเสร็จพร้อมที่จะจ่ายเงิน ตนจึงบอกให้นายไอซ์ขับรถกลับเข้ามา แต่นายไอซ์ปฏิเสธพร้อมบอกว่าให้ตนโอนเงินคืนรวมทั้งหมดจำนวน 120,000 บาท ถึงจะยอมขับรถกลับเข้ามา ซึ่งตนก็ตกใจ ทำไมยอดเงินถึงเกินมาอีกตั้ง 20,000 บาท สุดท้ายก็ตกลงกันไม่ได้กลุ่มนายทุนรายใหม่จึงยกเลิกสัญญาและขับรถออกไปทันที ตนจึงบอกกับนายไอซ์ว่าเขาไม่รับรถแล้ว เพราะนายไอซ์ไม่ยอมนำรถกลับมา นายไอซ์จึงบอกให้ตนกลับบ้านไปก่อน แต่ตอนนั้นตนไม่มีเงิน นายไอซ์จึงโอนเงินค่าเดินทางมาให้ 2,000 บาท วันต่อมาตนจึงสอบถามนายไอซ์ว่าจะเอายังไง นายไอซ์บอกว่าให้เวลาผม 5 วัน ไปหาเงินมาไถ่รถพร้อมกับดอกเบี้ยและค่าดำเนินการรวมทั้งหมดรวม 120,000 บาท ซึ่งเงินมากขนาดนั้น ตนไม่สามารถหาได้ทันตามเวลาที่เขากำหนด
ต่อมาวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 66 จึงตัดสินใจเข้าเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองสมุทรปราการ ไว้เป็นหลักฐาน ตอนนี้ผ่านไป 20 วันแล้ว ไม่รูัว่านายไอซ์เอารถของตนไปไว้ที่ไหน ที่ผ่านมานายไอซ์พูดข่มขู่ตลอด ว่าจะเอารถไปส่งไปขายให้กับประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งยังอ้างอีกว่ารถของตนอยู่กับ “เสธกอล์ฟ” จอดอยู่ในค่ายทหารแห่งหนึ่ง ตนเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะคู่กรณีอ้างคนมีสีหนุนหลัง ตอนนี้ครอบครัวเดือดร้อนมากเพราะยังต้องผ่อนรถกับไฟเเนนซ์ อีก 6 ปี 1 เดือน ผ่อนเดือนละ 9,525 บาท จึงมาขอให้ทนายโป้งช่วยดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ทางด้าน ทนายโป้ง กล่าวว่า เบื้องต้นได้ประสานไปยังพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เเละจะพาผู้เสียหายไปให้ปากคำเพิ่มเติมในวันเสาร์ที่ 11 ก.พ.ที่จะถึงนี้ ขณะเดียวกันก็จะยื่นเรื่องอายัติบัญชีธนาคาร และจำทำการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์จะได้รู้ตัวว่าใครกันเเน่ที่มาหลอกเขา จากนั้นก็จะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ที่เกี่ยวข้อง สำหรับคดีนี้ผู้ก่อเหตุเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง เพราะเป็นขบวนการที่มาหลอกลวงเรื่องรับจำนำรถ ซึ่งจุดประสงค์หลักไม่ได้เกี่ยวกับการรับจำนำรถ เพราะเท่าที่ทราบกลุ่มบุคคลดังกล่าวไม่ได้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการจำนำรถน่าจะเป็นแก๊งค์หลอกลวง ฉ้อโกง ส่วนจะมีความผิด นอกจากนี้ ต้องรอให้พนักงานสอบสวนทำการสอบปากคำให้เเล้วเสร็จก่อน จึงจะเเจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มได้ สำหรับพฤติกรรมของกลุ่มผู้ก่อเหตุจะมีทั้งหมด 5 คน ทำเป็นขบวนการ ซึ่งแต่ละคนมีหน้าที่หลอกล่อเหยื่อแตกต่างกันไป มีทั้งนายหน้า คนที่ติดต่อ คนที่นำพา คนที่ติดต่อเจ้าของรถ คนที่ติดต่อเจ้าของบัญชีธนาคาร และคนที่ให้ข้อมูลทางโทรศัพท์ สุดท้ายนี้อยากจะฝากไปถึงคนที่คิดจะเอารถยนต์ที่ติดไฟแนนซ์ไปจำนำ ขอแนะนำว่าอย่าไปทำแบบนี้เด็ดขาดเพราะอาจจะเสี่ยงถูกแจ้งข้อหายักยอก ทางที่ดีควรจะไปรีไฟแนนซ์ใหม่และควรไปทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือ มีวัตถุประสงค์หลักในการให้เช่า ซื้อ รถยนต์ ให้ให้กู้ยืมเงิน ซึ่งเราสามารถตรวจสอบได้ว่าสถาบันการเงินที่ไหน หรือ บริษัท ห้างร้าน อะไร ที่ประกอบธุรกิจประเภทนี้ อย่าไปจำนำกันเอง เพราะเสี่ยงที่จะถูกมิจฉาชีพหลอกทำให้ได้รับความเสียหาย