"สุดารัตน์" ประกาศแนวทางทำการเมืองโดย "ใช้ธรรมเป็นอำนาจ ขอใช้อำนาจให้เป็นธรรม" เพื่อปลดล็อกการเมือง 2 ขั้วที่ทำให้เกิดรัฐประหาร 2 ครั้ง ทำประเทศตกต่ำมากว่า 17 ปี มุ่งสร้างประเทศที่ดีกว่านี้ เพื่อส่งมอบให้ลูกหลาน 

วันที่ 6 มี.ค.66 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงการทำงานทางการเมือง ซึ่งได้ยึดถือและน้อมนำแนวทางขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้ามาปฏิบัติ  และเนื่องในวันมาฆบูชา วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2566 พุทธศาสนิกชนได้ร่วมกันน้อมรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ประทานแก่พระอรหันตสาวก 1,250 รูป 

ซึ่งคุณหญิงสุดารัตน์ ได้เล่าถึงความมุ่งมั่นและหลักในการทำงานการเมืองมาโดยตลอด นั่นคือ “การใช้ธรรมเป็นอำนาจ และใช้อำนาจให้เป็นธรรม”

หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวด้วยว่า ตนเองเป็นหนึ่งในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 เมื่อโดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง จึงได้ใช้เวลาไปกับการเรียนปริญญาเอก สาขาพระพุทธศาสนาที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ที่จะช่วยค้ำจุนพระพุทธศาสนาทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ตนเชื่อว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า คือหลักการในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ให้ตัวเราและสังคมเกิดความผาสุข มีความเอื้ออาทร ไม่เบียดเบียน เอาเปรียบผู้อื่น หัวข้อดุษฎีนิพนธ์ที่เขียนคือ “พุทธวิธีเชิงบูรณาการแก้ปัญหาความขัดแย้งในการเมืองไทยปัจจุบัน” 

โจทย์สำคัญในงานดุษฎีนิพนธ์คือ  การใช้ทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสังคมไทย คือ พระพุทธศาสนาและพระราชปรีชาญาณ-พระราชดำรัสของในหลวง ร. 9 มาแก้วิกฤติการเมืองไทยได้อย่างไร

งานศึกษาของตนพบว่า พระราชดำรัสคุณธรรม 4 ประการ มีความสอดรับเป็นอย่างดีกับหลักสาราณียธรรม 6 ประการ ตกผลึกออกมาเป็นคุณธรรม 4 ประการ ที่จะทำให้เกิดความรักความสามัคคีขึ้นในสังคม ประกอบด้วย (1) คิด-พูด-ทำ ด้วยความเมตตาต่อกัน (2) ประสานงานประสานประโยชน์ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (3) ยึดความสุจริตเป็นที่ตั้ง (4) ยึดหลักเหตุผลเป็นที่ตั้ง 

ให้เห็นภาพชัดๆ คือการบริหารประเทศโดยอาศัยการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในทุกขั้นตอน 

ประชาธิปไตยแบบธรรมาธิปไตย ต้องฟังให้มาก และสำหรับนักการเมืองด้วยแล้ว ต้องฟังจากพี่น้องประชาชนให้มาก เพื่อให้นโยบายที่คิด สิ่งที่ลงมือปฏิบัติ สอดรับกับทุกข์ที่ประชาชนเผชิญอยู่ และที่สำคัญต้องยึดหลักความสุจริตในการบริหารประเทศ

“ขอใช้ธรรมเป็นอำนาจ ขอใช้อำนาจให้เป็นธรรม” จึงเป็นวิธีประพฤติปฏิบัติตัวของคนการเมืองแบบที่ยึดเอาความเมตตาต่อกัน ยึดหลักความสุจริต อีกทั้งเหตุและผล มาใช้ในการประสานงานประสานประโยชน์กัน สร้างการมีส่วนร่วมในทุกระดับ ใช้ได้ทั้งในการทำงานการเมือง ไปจนถึงบริหารประเทศ จึงเชื่อมั่นว่า หลักข้อนี้จะเป็นทั้งวิธีและเป้าหมายในการทำงานการเมืองที่ช่วยปลดล็อกประเทศไทยจากวิกฤติความขัดแย้งการเมือง 2 ขั้วได้สำเร็จ