นายสุนทร สุนทรชาติ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย (สนอ.) กทม.กล่าวถึงการเตรียมพร้อมเฝ้าระวังและดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงของสถานพยาบาลสังกัด กทม.ว่า จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา (Epinet) ของกองควบคุมโรคติดต่อ สนอ.พบสถานการณ์โรคอุจจาระร่วงในพื้นที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 23 ก.พ.66 มีผู้ป่วย 8,706 ราย เป็นผู้ป่วยเดือน ม.ค. 6,147 ราย และเดือน ก.พ. 2,559 ราย กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ 0 - 4 ปี (17%) 5 - 9 ปี (11.92%) และ 25 - 29 ปี (11.58 %) โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในโรงเรียนเด็กเล็กและประถมศึกษา รวมถึงมีการติดเชื้อโนโรไวรัสและโรต้าไวรัสเพิ่มขึ้นในช่วงหลัง ซึ่งอาการที่พบบ่อยคือ คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลวเป็นน้ำ ปวดท้อง กรณีผู้ที่มีอาการอุจจาระร่วงถ่ายเป็นน้ำอย่างรุนแรง อาจเกิดภาวะช็อกจนเสียชีวิตจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ หากอาการไม่ดีขึ้น หรือถ่ายอุจจาระเหลวมากกว่า 10 ครั้ง/วัน อุจจาระเป็นมูก หรือมูกเลือด อาเจียนบ่อย ริมฝีปากแห้ง ผิวหนังไม่ยืดหยุ่น ปัสสาวะน้อยลง หรือปัสสาวะไม่ออก ไม่รับประทานอาหาร ไม่ดื่มน้ำ นม สารละลายเกลือแร่ หรือรับประทานได้น้อยลง ไข้สูง หรือชัก ซึมลง อ่อนเพลีย ตาลึกโหล หายใจหอบลึก ในเด็กเล็กอาจมีกระหม่อมบุ๋ม ควรรีบพบแพทย์ทันที
ทั้งนี้ สนอ.ขอให้ประชาชนและผู้บริหารสถานศึกษาตระหนักถึงความปลอดภัย โดยยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ ไม่รับประทานอาหารดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารปรุงสุกที่เก็บไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง ต้องนำมาอุ่นร้อนให้ทั่วถึงก่อนรับประทาน น้ำสำหรับชงนมต้องต้มให้สุก ต้องล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร ก่อนเตรียมอาหาร หรือชงนมให้เด็ก หลังเข้าห้องน้ำและหลังสัมผัสสิ่งสกปรก หรือสัตว์เลี้ยง ดื่มน้ำ หรือน้ำแข็งที่สะอาด ปลอดภัย มีเครื่องหมายสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หมั่นทำความสะอาดเครื่องใช้ ของเล่นเด็กอยู่เสมอ เลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่มีอาการอุจจาระร่วง กรณีพบผู้มีอาการอุจจาระร่วง มีตัวอย่างอาหารส่งตรวจ เพื่อหาสาเหตุของเชื้อก่อโรคได้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่กองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย โทร.0 2203 2885